เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 พ.ค. 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 12 โดยได้ประชุมร่วมกับ ผวจ.กลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนกลางและหน่วยงานที่ รวมทั้ง สส.ในพื้นที่ โดยมีนายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช.,นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่น,นายสุพจน์ เตาะเจริญสุข ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย,นายวันนิวัฒน์ สมบูรณ์ ส.ส.ขอนแก่นพรรคเพื่อไทย,นายวิรัช พิมพะนิตย์ ,นายพลากร พิมพะนิตย์ ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย และ ส.ส.จากอีกหลายจังหวัดร่วมให้การต้อนรับ

นายประเสริฐ กล่าวว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อขอรับทราบปัญหาและความต้องการด้านน้ำจาก จ.ขอนแก่น ,กาฬสินธุ์, มหาสารคาม และร้อยเอ็ด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่า ยังมีบางพื้นที่มีความเสี่ยงที่จะประสบอุทกภัยหากมีปริมาณฝนที่ตกสะสมจำนวนมาก อาจส่งผลให้เกิดน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่การเกษตร เขตชุมชน และพื้นที่เศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ดี แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว แต่คาดว่าในช่วงปลายเดือน มิ.ย.-ก.ค.อาจเกิดฝนทิ้งช่วงในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน
“เราจำเป็นต้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำจากสภาวะฝนทิ้งช่วงด้วย จึงได้มอบหมายให้ สทนช. ประสานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบางที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและฝนทิ้งช่วง ตามที่ สทนช. คาดการณ์ว่าทั้ง 4 จังหวัด ในเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม จะมีพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง โดยเฉพาะขอนแก่น ในช่วงเดือนกันยายน คาดว่าจะมีพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วงสูงสุดถึง 24 อำเภอ 142 ตำบล ซึ่งต้องมีการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรอบคอบและรัดกุม พร้อมเน้นย้ำให้มีการแจ้งเตือนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องล่วงหน้า และเมื่อเกิดเหตุจะต้องเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันที”

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่ออีกว่า ขณะที่กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยต้องบริหารจัดการน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยวางแผนจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเพียงพอกับความต้องการ และให้ความสำคัญกับการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก และให้ทุกจังหวัดจังหวัด รวมทั้งกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำ บ่อบาดาล รวมถึงระบบประปาหมู่บ้านที่อยู่ในความรับผิดชอบให้พร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำใน 4 จังหวัดเกิดความมั่นคง ยั่งยืน และเกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมด้านต่างๆ และจัดทำรายละเอียดเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลโดยเร็ว
ด้าน นายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม อาจจะมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย 1–2 ลูก โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ สทนช. จึงได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันพบว่าใน 4 จังหวัด มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์ จัง.ขอนแก่น และอ่างเก็บน้ำลำปาว จ.กาฬสินธุ์ เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กอีกจำนวน 8,543 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวมกันอยู่ที่ 1,598.07 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 32% ของความจุเก็บกัก ซึ่งน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2567

“ได้คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงเกิดอุทกภัยช่วงเดือนพฤษภาคม ได้แก่ ขอนแก่น 7 อำเภอ , กาฬสินธุ์ 16 อำเภอ และมหาสารคาม 7 อำเภอ อย่างไรก็ตามสทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมแผนปฏิบัติการและดำเนินการตามภารกิจที่สอดคล้องกับมาตรการรับมือฤดูฝนปีนี้แล้ว เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย รวมถึงวางแผนการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้าด้วย โดย สทนช. จะติดตามผลการดำเนินการของมาตรการและประเมินสถานการณ์ฝนอย่างต่อเนื่อง พร้อมขับเคลื่อนการสร้างเครือข่ายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐให้ประชาชนได้เข้าถึงอย่างรวดเร็ว สามารถเตรียมการรับมือสถานการณ์น้ำปีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”