จากกรณีวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดำเนินการไต่สวนนัดแรก กรณีความปรากฏการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในประเด็นการถูกส่งตัวออกรักษานอกเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 22 ส.ค. 66 ภายหลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมสู้คดีในคดีค้างเก่า ปรากฏว่าในวันดังกล่าว เวลาประมาณ 00.30 น. นายทักษิณ ได้ถูกส่งตัวออกรักษานอกเรือนจำฯ ที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 อาคาร อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา รวมเป็นระยะเวลาทั้งหมด 180 วัน หรือ 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. 66-18 ก.พ. 67) เนื่องด้วยเข้าเกณฑ์กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 เพราะเป็นผู้ต้องขังสูงอายุ และประสบปัญหา 4 โรครุมเร้า ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด พังผืดในปอด ความดันโลหิตสูง และกระดูกสันหลังเสื่อม โดยโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ โรคหัวใจ เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ แพทย์จึงมีความเห็นว่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อชีวิต เห็นควรส่งตัวไป รพ.ตำรวจ ที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่า อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาฯ ได้ไต่สวนพยาน 1 ปาก คือ นายมานพ ชมชื่น ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (คนปัจจุบัน) และศาลเห็นว่ายังมีข้อเท็จจริงจำนวนพอสมควรที่ศาลจะต้องแสวงหาความจริง และหลักฐานต่าง ๆ เพื่อเข้ามาประกอบการวินิจฉัยในคดี จึงได้มีหมายเรียกไต่สวนพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก 20 ปาก ตามกรอบระยะเวลาที่ศาลกำหนด คือ วันที่ 4, 8 และ 15 ก.ค. 68 ส่วนกรณีของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายทักษิณ ชินวัตร ศาลอนุญาตขยายระยะเวลาให้ยื่นคำชี้แจงถึงวันที่ 20 มิ.ย. 68 และวันที่ 23 มิ.ย. 68 ตามลำดับ ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวภายในกรมราชทัณฑ์ ว่า ต้องย้อนไปดูที่กระบวนการเริ่มต้น คือ ศาลมีคำสั่งจำคุกจำเลยมายังกรมราชทัณฑ์ เพื่อให้อยู่ในความดูแลของกรมราชทัณฑ์ แต่เนื่องด้วยผู้ต้องขังมีอาการเจ็บป่วย ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่ได้มีเพียงแค่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เท่านั้น แต่บางกรณีเมื่อมาถึงเรือนจำฯ มาอยู่ในการคุมขัง ก็เกิดภาวะเครียด ความดันโลหิตสูง เรือนจำฯ ที่รับผิดชอบดูแลก็ต้องนำตัวส่งออกรักษานอกเรือนจำภายในวันเดียวกันเลยก็มี ดังนั้น ส่วนนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญที่จะพิสูจน์ได้ โดยต้องตัดในเรื่องของการป่วยวิกฤติหรือไม่วิกฤติออกไปก่อน เพราะภาวะสุขภาพของผู้ต้องขังแต่ละรายมีขีดจำกัดแตกต่างกัน อีกทั้งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพัศดีเวรในวันดังกล่าว โดยเฉพาะหากเป็นเวลากลางคืน พัศดีเวรอาจพิจารณาแตกต่างกันออกไป บางท่านอนุญาตให้ออก บางท่านไม่อนุญาต ทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้วเรือนจำทั่วประเทศ ก็ย่อมมีผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยและต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หรือที่เรียกว่าการส่งตัวออกรักษานอกเรือนจำอยู่เสมอ บางรายติดเตียง บางรายมีอาการโคม่า บางรายมีอาการเจ็บป่วยเฉพาะทางที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง จึงต้องย้ำว่าอาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นก่อนเข้ามายังเรือนจำ หรือภายหลังเข้ามาอยู่ในเรือนจำ แล้วได้รับการพิจารณาถูกส่งตัวออกไปรักษายังโรงพยาบาลด้านนอก แต่การนับวันต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาก็ยังดำเนินต่อไป ไม่ได้หยุดโทษลง ซึ่งมันย่อมดีกว่าการหยุดเวลาติดคุก เพราะถ้าหากผู้ต้องขังมีอาการเจ็บป่วยจริง จะต้องหมายถึงว่าผู้ต้องขังรายนั้นต้องป่วยและติดคุกไปจนตายใช่หรือไม่ เพราะต้องมารอให้หายป่วยก่อนแล้วจึงค่อยนับวันต้องโทษ
แหล่งข่าวภายในกรมราชทัณฑ์ เผยอีกว่า กุญแจสำคัญในระหว่างการย้ายตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วย ออกจากเรือนจำไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้น ต้องไปดูว่าในระหว่างที่อยู่บนรถตู้พยาบาล (Ambulance) ผู้ต้องขังมีความดันเท่าใด ยังคงมีความดันสูงไปจนถึงโรงพยาบาลปลายทางหรือไม่ แพทย์ที่รับเคสฉุกเฉินมีการวัดความดันผู้ต้องขังหรือไม่ และให้การรักษาพยาบาลอย่างไรบ้าง หากเป็นกรณีความดันสูง มียาความดันสูงฉีดหรือไม่ หรือหากเป็นโรคหัวใจ มียาเกี่ยวกับโรคหัวใจมาด้วยหรือไม่ เป็นต้น นอกจากนี้ กรณีที่มีการย้ายผู้ต้องขังไปรักษายังสถานพยาบาลปลายทางใด เจ้าหน้าที่เรือนจำย่อมต้องดูแลความปลอดภัยอย่างสูงสุด ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและชีวิตผู้ต้องขัง
แหล่งข่าวภายในกรมราชทัณฑ์ อธิบายด้วยว่า สังคมมีการพูดถึง 2 ประเด็นเกี่ยวกับกรมราชทัณฑ์ คือ 1.ราชทัณฑ์ไปลบล้างคำพิพากษาของศาล และ 2.เวลามีการฉุกเฉินจริง ต้องขออนุญาตศาล ซึ่งในประเด็นที่ 2 นี้ ตนอยากให้เข้าใจกระบวนการปฏิบัติของศาล โดยเฉพาะในกรณีของผู้พิพากษา ยกตัวอย่างเช่นในปีนี้ (2568) ผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ศาลแห่งหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่ปี 2569 ท่านอาจไปปฏิบัติหน้าที่ยังศาลอื่นในพื้นที่อื่น แต่ผู้พิพากษาที่ได้มีการสั่งจำคุกคือศาลในปี 2568 เช่นนี้ราชทัณฑ์จะต้องขออนุญาตศาลใด ซึ่งตามหลักการแล้ว ราชทัณฑ์จะต้องขออนุญาตศาลที่เป็นเจ้าของสำนวนคดี เนื่องจากหัวหน้าผู้พิพากษาศาล จะเป็นผู้กำหนดว่าให้ผู้พิพากษาท่านใดดูแลรับผิดชอบโรงพยาบาลใดบ้างในพื้นที่ อาทิ ให้รับผิดชอบทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ผู้ต้องขังของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครทั้งหมด เป็นต้น
“อยากให้สังคมเข้าใจกระบวนการยุติธรรมที่กรมราชทัณฑ์รับผิดชอบดำเนินการ ว่าเมื่อศาลมีคำสั่งพิพากษาจำคุกบุคคลใดก็ตาม ราชทัณฑ์มีหน้าที่ในการบังคับโทษและบริหารโทษ และปฏิบัติตามกฎหมายราชทัณฑ์อย่างเคร่งครัด ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ หมายถึงตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ก้าวเท้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ที่ไม่ใช่การหลุดไปตั้งแต่ชั้นสอบสวน หรือชั้นอัยการ” แหล่งข่าวสะท้อนมุมมอง
แหล่งข่าวภายในกรมราชทัณฑ์ เผยอีกว่า การตรวจสุขภาพโดยเฉพาะอาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขัง อาทิ โรคประจำตัว ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ต้องขังทั่วไปหรือผู้ต้องขังรายสำคัญที่สังคมให้การจับตามอง ราชทัณฑ์ย่อมต้องดำเนินการอย่างถี่ถ้วน เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมาในระหว่างการคุมขังบริหารโทษของราชทัณฑ์ ย่อมเป็นปัญหาที่ต้องรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.