เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยว่า จากการสำรวจความเห็นประชาชน 1,128 คน เรื่อง “ความสนใจข่าว ของประชาชน” เมื่อวันที่ 10-14 มิ.ย. ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนสนใจข่าวการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและค่าครองชีพ มาที่สุด ถึง 82.7% ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนว่าปากท้องยังคงเป็นความเจ็บปวดลึกของสังคมไทยในเวลานี้ รองลงมาคือ ข่าวภัยพิบัติ 59.9% ข่าวความขัดแย้งไทย–กัมพูชา 58.1% และข่าวทุจริตเจ้าหน้าที่รัฐ 57.3% ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิต ความมั่นคง และศรัทธาต่อรัฐของประชาชน

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจที่ป่วยลึกกว่าที่คิด เมื่อเจาะลึกถึงเรื่องที่ประชาชนอยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไข พบว่า ปัญหาค่าครองชีพสูง ขาดสภาพคล่อง และ เงินไม่พอใช้ 80.4% ปัญหายาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรม 67.9% ทั้งนี้ ประชาชนเสนอทางออกอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลควรลดราคาสินค้าและบริการสาธารณูปโภค 70.3% ส่งเสริมการหารายได้เสริมโดยไม่เพิ่มภาระ 69.1% พยุงต้นทุนเกษตรกรและ SME ที่กำลังหายใจรวยริน 66.5%–62.8% นี่ไม่ใช่แค่การวิพากษ์ แต่คือเสียงเรียกร้องให้รัฐกลับมาเข้าใจพลวัตของเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อด้วยว่า เมื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนต่อ ปัญหาขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้เห็นภาพชัดจากเสียงของประชาชนว่า พรมแดนไม่ใช่เพียงเส้นแบ่ง แต่คือพื้นที่แห่งโอกาส เพราะในประเด็นชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมีความตึงเครียดเป็นระยะ ประชาชนส่วนใหญ่ 73.9% ต้องการให้รัฐบาลใช้การเจรจาอย่างสันติ มากกว่ากำลังทหาร พร้อมทั้งเสนอแนวทางสร้างสันติภาพ เช่น การเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า 68.4% และการใช้เวทีอาเซียนหรือ JBC 65.3% ประชาชนยังแสดงความกังวลเรื่องการล่วงล้ำเขตแดน 66.5% แต่ไม่ได้เรียกร้องให้รัฐโต้ตอบด้วยอาวุธ แต่ต้องการข้อมูลที่เป็นจริงและท่าทีทางการทูตที่ชาญฉลาด มากกว่าอารมณ์แบบชาตินิยมสุดโต่ง นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ประชาชนไทยแบบสามัญชนทั่วไปมีวุฒิภาวะทางการเมืองและความมั่นคงสูงกว่าที่หลายคนคิด

ผศ.ดร.นพดล กล่าวว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายให้เปลี่ยนเสียงของประชาชนไปสู่แนวทางเชิงนโยบาย 5 ประการเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ได้แก่ 1. ลดต้นทุนชีวิตประจำวันทันที โดยเน้นสินค้าจำเป็น ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและยารักษาโรคโดยเฉพาะนโยบายที่กำลังโดนใจถูกใจประชาชนเวลานี้คือ 30 บาทรักษาทุกที่ ของ สปสช. ที่เข้าถึงยาสามัญประจำบ้านได้ตามร้านขายยาที่ร่วมโครงการ 2. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากเชิงรุก ผ่านมาตรการ “สร้างรายได้ ไม่ใช่แจกเงิน” เช่น สนับสนุนงานพิเศษ กลุ่มอาชีพอิสระ และภาคการเกษตรแนวใหม่ 3. เปิดพื้นที่รับฟังปัญหาแบบมีส่วนร่วมในระดับตำบล ไม่ใช่แค่บนเวทีรัฐสภา 4. ใช้การทูตชายแดนเป็นเครื่องมือสร้างเสถียรภาพ ควบคู่กับความร่วมมือในอาเซียนและการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนแบบ “กันชนสันติภาพ” และ 5. เร่งสร้างความเชื่อมั่นผ่านความโปร่งใส โดยการรายงานผลนโยบายรัฐบาลรายเดือนให้ประชาชนตรวจสอบได้ และมุ่งตอบโจทย์ผลประโยชน์ชาติและของประชาชนมากกว่าผลประโยชน์นักการเมืองเฉพาะกลุ่ม เพราะประชาชนสนใจข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีน้อยที่สุด

“กล่าวโดยสรุปคือ ฟังประชาชน ไม่ใช่เพียงเพื่อรู้ แต่เพื่อเข้าใจและลงมือทำ เพราะงานวิจัยเชิงสังคมศาสตร์ที่แท้จริง ไม่ได้จบที่ตัวเลขบนกระดาษ แต่ต้องนำไปสู่การตื่นรู้ทางนโยบาย หากฝ่ายการเมืองยังมองว่าเสียงของประชาชนเป็นเพียงเสียงพื้นหลัง จะส่งผลให้ความขัดแย้ง ความไม่พอใจ และความไม่มั่นคง ก็จะยังวนเวียนอยู่ในโครงสร้างอำนาจเช่นเดิม การหยุดและฟังเสียงของประชาชนอย่างลึกซึ้ง คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่ดี ประชาชนไม่ต้องการนโยบายที่ยิ่งใหญ่ดูดี แต่ต้องการนโยบายที่เข้าใจชีวิตจริงและจับต้องได้ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ชาติและผลประโยชน์ส่วนตัวของทุกคน” ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว