นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ กัลฟ์ และ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. เดินหน้าโครงการ Green Energy Green Network for THAIs หรือ พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย  อย่างต่อเนื่องเป็น ปีที่ 2  เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนห่างไกล ที่ไม่มีไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ด้วยการเข้าไปติดตั้งโซล่าเซลล์ เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด  และเสาสัญญาณเครือข่ายเพื่อใช้สื่อสาร หลังจากในปีที่ผ่านมาได้เข้าไปติดตั้งใน  6 หมู่บ้าน โดยมี 2 หมู่บ้านต้นแบบ คือ บ้านมอโก้โพคี ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก และ บ้านดอกไม้สด ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก

สำหรับในปีที่ 2 นี้ ทางโครงการได้คัดเลือกหมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มอีก 6 แห่ง  แบ่งเป็นในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ 3 หมู่บ้าน และแม่ฮ่องสอน 3 หมู่บ้าน  และทางโครงการตั้งเป้าหมายระยะเวลา 5 ปี จะมีหมู่บ้านที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 30 หมู่บ้าน ทั้งทั้งหมดจะเป็นพื้นที่ห่างไกลบนที่สูง ไฟฟ้า และสัญญาณโทรศัพท์ยังเข้าไม่ถึง โดยจะมี สวพส. ที่เข้าไปทำงานกับชาวบ้านบนพื้นที่สูงกว่า 4,200 หมู่บ้าน เป็นผู้ที่นำเสนอหมู่บ้านที่ควรได้รับการสนับสนุนจากโครงการ เพื่อให้คณะกรรมการของทั้ง 3 หน่วยงานเป็นพิจารณาคัดเลือกหมู่บ้านที่ผ่านเกณฑ์เข้าร่วมโครงการ

“ โครงการนี้ เป็นการจับมือของ 3 หน่วยงาน ของภาคเอกชนและภาครัฐ ในระยะยาว  โดย สนับสนุนงบประมาณ กว่า 100 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี จำนวน 30 หมู่บ้าน เพื่อยกระดับคนไทยในทุกพื้นที่ห่างไกลของประเทศไทยสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ให้ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสาร เข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ต และเชื่อมโยงถึงกันได้  เป็นการลดความเหลื่อมล้ำ และ ช่วยสร้าง โอกาส ในหลายมิติ ทั้ง เรื่องการศึกษา การรับรู้ข่าวสาร การเพิ่มรายได้จากโอกาสในการประกอบอาชีพผ่านออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดจะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลให้ดียิ่งขึ้น”

นางสายชล กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการในปีแรก ทางเอไอเอส และพันธมิตร ได้มีการประเมินผลตอบแทนทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรมผ่านงานวิจัยภายใต้กรอบ Social Return on Investment  หรือ SROI จากโครงการหมู่บ้านต้นแบบทั้ง  2 แห่ง คือ ที่บ้านมอโก้โพคี ที่ชาวบ้านยกระดับอาชีพขายกาแฟ ผ่านออนไลน์  และ บ้านดอกไม้ ยกระดับเรื่องการศึกษา  ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่า  จากมูลค่าการลงทุนใน 2 หมู่บ้าน จำนวน  3.6 ล้านบาท สามารถสร้างผลลัพธ์ผลตอบแทนทางสังคมกลับมากว่า 8.6 ล้านบาท  หรือ คิดเป็นการลงทุนทุก 1 บาท สร้างผลตอบแทนทางสังคม 2.37 บาท ซึ่งชี้ให้เห็นถึงคุณค่าและมูลค่าที่ส่งคืนสู่ชุมชน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง โดยผลลัพธ์ของงานวิจัยจะถูกนำไปใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาร่วมกันเฉพาะในแต่ละพื้นที่ห่างไกลได้อย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมในมิติต่างๆ ต่อไป และหวังว่า โครงการนี้ จะเป็นต้นแบบให้กับหน่วยงานอื่นๆ ในการช่วยยกระดับชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นายธนญ ตันติสุนทร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  จุดเริ่มต้นทางบริษัทมีการทำโครงการซีเอสอาร์อยู่แล้ว ในพื้นที่ห่างไกล พื้นที่สูง ที่ขาดแคลนไฟฟ้าในรูปแบบ พลังงานสีเขียว ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเอไอเอสมาเป็นพาร์ทเนอร์ จึงเป็นการไปติดโซล่าเซลล์ในพื้นที่ต่างๆ เช่น จ.ตาก และเชียงใหม่  เมื่อได้เป็นพาร์ทเนอร์ กับเอไอเอส จึงมีโครงการที่เป็นประโยชน์มากขึ้น มีการเพิ่มเน็ตเวิร์ค ช่วยให้ผลประโยชน์ทวีคูณมากขึ้น

“การเข้าไปช่วยติดตั้งแผงโซล่า เซลล์ ในสถานที่สาธารณะประโยชน์ ช่วยให้มีไฟฟ้าใช้ในชุมชน และเป็นพลังงานสะอาด โดยเฉพาะที่บ้านมอโก้โพคี  ที่มีการติดตั้งโรงคั่วกาแฟพร้อมระบบพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยให้ชาวบ้านสามารถเพิ่มมูลค่าผลผลิตกาแฟ ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง และเปิดช่องทางการตลาดออนไลน์ ส่งผลให้เกิดรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น ขณะที่บ้านดอกไม้สด การมีไฟฟ้า และสัญญาณอินเทอร์เน็ต ช่วยให้ชาวบ้าน และเด็กๆ สามารถเข้าถึงสื่อดิจิทัลเพื่อเรียนรู้ และแนวทางอาชีพใหม่ๆ  ด้วย นอกจากนี้ในด้านสาธารณสุข ช่วยให้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสามารถใช้การสื่อสารออนไลน์ในการติดตามผู้ป่วย  และประสานงานกับโรงพยาบาลแม่ข่ายได้ทันท่วงที ช่วยลดระยะเวลาการส่งต่อ  และได้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในการให้บริการเช่น ตู้เย็นสำหรับยาและเวชภัณฑ์เย็น วัคซีน เป็นต้น”

ด้าน  ดร.เพชรดา อยู่สุข รองผู้อำนวยการด้านบริหารจัดการ สวพส. กล่าวว่า ทาง สวพส.  มีภารกิจที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต ของชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่สูงทั่วประเทศ ให้ได้รับโอกาสและคุณภาพชีวิตทัดเทียมกับคนพื้นราบ ซึ่งโครงการ Green Energy Green Network for THAIs ที่ทาง เอไอเอส และ  กัลฟ์ ร่วมสนับสนุนนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวบ้าน ได้เข้าถึงการสื่อสารและดิจิทัล เพื่อใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัว ซึ่งผลจากการวิจัยชี้ให้เห็นถึงผลตอบแทนทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ถึง  2.37  เท่าของมูลค่าการลงทุนสนับสนุน ซึ่งเชื่อว่า หากระยะเวลาผ่านไป 2-3 ปี มูลค่าการผลตอบแทนจะสูงมากกว่า  2.37  เท่า อย่างแน่นอน

ขณะที่ น.ส. ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ตอนนี้ประเทศไทย  กำลังเผชิญกับโจทย์ที่ซับซ้อน ทั้งในเรื่องภาวะเศรษฐกิจ สังคมสูงวัย การทำงานวิจัยต้องสามารถเข้าถึงประชาชน และนำมาใช้ได้อย่างแท้จริง มีผลที่เชื่อถือได้ เข้าใจบริบท ของแต่ละพื้นที่  เช่น เรื่องการเกษตร  ที่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างเช่น โครงการของ เอไอเอส และ  กัลฟ์  ที่สามารถสร้างวัดผลตอบแทนทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งบทบาทของ อว.พร้อมสนับสนุนและเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายสามารถใช้ประโยชน์จากงานวิจัย และสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ในทุกมิติสำหรับประเทศไทยต่อไป