ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ประเทศไทยกำลังจะมีงานอีเว้นท์ใหญ่ ซึ่งหลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ เมื่อประเทศไทยได้รับเกียรติ เป็นเจ้าภาพงานใหญ่ระดับโลก กับการจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ “The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24–27 มิ.ย.68 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์
โดยเป็นการดำเนินงานภายใต้การนำของ 3 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และ UNESCO จั
ในงานจะมีการเชิญ ผู้นำ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญกว่า 800 คน จาก 194 ประเทศทั่วโลก มาร่วมหารือ กำหนดอนาคตนโยบายและจริยธรรม AI ของโลกที่โปร่งใสเป็นธรรม สร้างความสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรม AI กับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สอดคล้องกับ UNESCO Recommendation on the Ethics of AI หรือ UNESCO RAM

ภายในงานในครั้งนี้จะมีทั้งเวทีหารือเชิงนโยบายและเนื้อหาความรู้ที่หลากหลายจากเหล่าผู้นำระดับประเทศที่จะถูกเชิญมาร่วมหารือแลกเปลี่ยน องค์ความรู้กันที่เวทีนี้ โดยเฉพาะในส่วนของนโยบายที่จะเชิญรัฐมนตรีดิจิทัลจาก 10 ประเทศในอาเซียนมาร่วมประชุม (High-Level Policy Discussion) เพื่อร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนา AI ในระดับภูมิภาค
โดยเฉพาะในประเด็น “จริยธรรมของ AI” ว่าจะนําหลักการของ UNESCO มาปรับใช้อย่างไรให้เหมาะสมกับบริบทอาเซียน ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญ ที่ประเทศไทยจะนำเสนอเตรียมจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการด้านธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ของภูมิภาค หรือ AI Governance Practice Center (AIGPC)”
ซึ่งจะถือเป็นก้าวสำคัญของเอเชีย-แปซิฟิกสู่ศูนย์กลางจริยธรรม AI ที่สำคัญงานนี้จะเปิดเวทีพูดคุยเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ในวงการแพทย์ซึ่งต้องคำนึงถึงจริยธรรมอย่างรอบด้าน พร้อมเสนอแนวทางการกำกับดูแลอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การประเมินความเสี่ยงและการอนุมัติใช้งานโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของ AI ที่มีความเสี่ยงด้านจริยธรรมสูง เช่น การเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิผู้ป่วยหรือการให้ผลลัพธ์ที่คลาดเคลื่อน จำเป็นต้องมีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวด ซึ่งจะสร้างความน่าเชื่อถือและช่วยให้สังคมมั่นใจในการใช้งาน AI ทางการแพทย์ในประเทศไทยมากขึ้น

นอกจากนี้จะมีประเด็นที่สำคัญ จะถูกหยิบยกมาพูดคุย คือ การเปิดเวทีถกประเด็นเร่งด่วนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็น AI and online Fraud อย่าง ภัยคุกคามจาก Deepfake การโจมตีทางไซเบอร์ การหลอกลวงทางการเงิน แนวทางการตรวจจับการฉ้อโกง การนำ AI เข้ามาใช้แทนแรงงาน การนำ AI มาใช้ในการศึกษาหรือแม้แต่การมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง Neurotechnology ที่ AI ใช้วิเคราะห์ความคิด อารมณ์และท่าทางของมนุษย์ได้ ไปจนถึงการตัดสินใจอัตโนมัติ (AI Decision-Making) ที่ไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปได้ว่าตัดสินใจอย่างไร
ซึ่งประเด็นเหล่านี้ล้วนเป็นโจทย์ ที่ท้าทาย และต้องการกรอบธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อสามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และยังมี Special Session ที่น่าจับตา คือ การนำเสนอแนวทางการใช้ AI เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยในด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และอาหารไทย พร้อมเสริมพลัง Soft Power ให้ยิ่งโดดเด่น เช่น การใช้ AI ช่วยคัดเลือกไฮไลต์ทางวัฒนธรรมมานำเสนอได้อย่างน่าสนใจ หรือแม้แต่ การแปลภาษาไทยให้เข้าใจง่ายและเข้าถึงผู้คนทั่วโลก เป็นต้น
สำหรับการที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะหยิบฉวยโอกาสและประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพ ใน 3 เรื่องหลักๆ คือ
1. การเสริมบทบาทประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลาง AI Governance แห่งเอเชีย โดยประเทศไทยจะมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้าน AI ที่สำคัญในภูมิภาคนี้ เพราะการที่ UNESCO เลือกประเทศไทยเป็นเจ้าภาพร่วมสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ในมิติของการกำกับดูแลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมและผลักดันการนำ AI ไปใช้เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมไทยให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

2. เสริมจุดแข็ง ปิดจุดอ่อน ยกระดับความพร้อม AI ไทยสู่มาตรฐานสากล ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะได้นำเสนอผลการประเมินความพร้อมผ่านกรอบ UNESCO RAM ที่ทำให้ประเทศได้ประเมินศักยภาพตัวเองด้าน AI อย่างเป็นระบบ มองเห็นทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง และรู้ว่าต้องเร่งเสริมเติมเต็มในจุดไหนเพื่อปิดช่องว่างและขับเคลื่อนการพัฒนา AI ตามกรอบจริยธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องตามมาตรฐานสากล
3.ยกระดับศูนย์ธรรมาภิบาล AI ของไทยสู่มาตรฐานสากล จะเป็นจุดเริ่มต้นในการผลักดัน AI Governance Practice Center (AIGPC) อย่างเป็นรูปธรรม ที่กระทรวงดีอี โดย ETDA และศูนย์ AIGC มุ่งยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางธรรมาภิบาล AI แห่งเอเชีย-แปซิฟิก ภายใต้การสนับสนุนของ UNESCO เพื่อขับเคลื่อนการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม และผลักดันการประยุกต์ใช้เครื่องมือประเมินความพร้อม (RAM) ให้เกิดผลจริงในประเทศกำลังพัฒนา
นอกจากนี้ ยังช่วยยกระดับศักยภาพงานวิจัยไทย ให้นักวิจัยไทยได้แลกเปลี่ยนความรู้กับนักวิชาการนานาชาติ นำแนวคิดจากงานวิจัยเชิงทฤษฎีมาต่อยอดสู่ การใช้งานจริง เรียนรู้จากประสบการณ์และ Best Practice ของต่างประเทศ โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ พร้อมเปิดประตูสู่ ความร่วมมือวิจัยข้ามชาติ ต่อยอดสู่ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว วัฒนธรรม อาหาร หรือบริการ และเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน Soft Power ไทยสู่เวทีโลก

ขณะเดียวกันจะมีการจัดงาน “Bangkok AI Week 2025” มหกรรมระดับชาติด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระหว่างวันที่ 23 – 27 มิ.ย. ที่จะมีกิจกรรมกระจายทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ “AI Powered Nation” ในการส่งเสริมการประยุกต์ใช้ AI ในภาครัฐ รวมไปถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และประชาชนที่สนใจ ตามจุดต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ House Samyan สามย่านมิตรทาวน์, วิคเตอร์คลับ แอท สาทรสแควร์, โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค, อุทยานการเรียนรู้ ทีเค พาร์ค และโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยกิจกรรมเสวนาในหัวข่อต่างๆ อาทิ “ยุทธศาสตร์ AI ไทย: วางจุดยืนอย่างไรในเวทีโลก AI Strategy Thailand: Where Do We Stand in the World?” เป็นต้น
งานนี้ จึงไม่ใช่เพียงงานแสดงเทคโนโลยี แต่ยังมีเวทีในการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้กำหนดนโยบาย นักวิจัย ผู้ประกอบการ และภาคประชาชน พร้อมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของการต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมจากทั่วโลกในงาน The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025 ที่ไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพ
ถือเป็นการแสดงความพร้อมของไทยในการก้าวเป็นผู้นำด้าน AI ในเวทีสากล!?!
จิราวัฒน์ จารุพันธ์