จากกรณีเจ้าหน้าที่คุมตัว พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผกก.โจ้ อดีตผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ อายุ 39 ปี กับพวกรวม 7 คนไปยังศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี เพื่อทำการสอบคำให้การจำเลยหลังถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (ม.157), เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจโดยมิชอบฯ (ม.172), ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน ม.289(5) และ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นฯ (ม.309)

โดยก่อนหน้านี้จำเลยทั้งหมดร่วมกันจับกุมตัว นายจิระพงษ์ ธนะพัฒน์ หรือ “มาวิน” ผู้ต้องหาคดียาเสพติดเสียชีวิตไปรีดข้อมูล โดยใช้ถุงดำคลุมหัวจนทำให้ขาดอากาศหายใจก่อนจะเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4-6 ส.ค.64 ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งหมดจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อสอบคำให้การตามกระบวนการในชั้นศาล ขณะเดียวกัน ร.ต.จักรกฤษณ์ กลั่นดี บิดาของนายจิรพงษ์ ได้ยื่นขอเป็นโจทก์ร่วม โดยศาลถามอัยการโจทก์ และทนายจำเลย ไม่คัดค้าน อนุญาตให้เป็นโจทก์ร่วมได้ โดยศาลอ่านคำฟ้องและข้อหาให้จำเลยทราบแล้ว มีการสอบคำให้การจำเลยโดยเริ่มจาก

พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หรือ ผกก.โจ้ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหาที่ 1, 2 และ 4 ยกเว้นข้อหาที่ 3 ระบุเหตุผลว่า “…ยอมรับว่ามีการทำร้ายร่างกายต้องการขยายผลทางคดียาเสพติดที่เป็นภัยร้ายของสังคม ไม่ได้ต้องการให้นายจิระพงษ์ ถึงแก่ความตาย ที่ทำไปเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ…”

“วิชา” ชี้ปมคดี “ผกก.โจ้” แค่เอาถุงดำคลุมหัวถือว่ามีเจตนาชัดเจน

ขณะที่ จำเลยที่ 2 ให้การยอมรับสารภาพทุกข้อหา ยกเว้นข้อหาที่ 3 เช่นเดียวกัน ให้เหตุผลว่า ไม่ได้เจตนาจะให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เพียงอยู่ร่วมในเหตุการณ์ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา

จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธข้อหาที่ 3 และ 4 และให้เหตุผลว่า ได้เข้ามาที่เกิดเหตุภายหลัง และไม่ได้ร่วมทำร้ายผู้ตาย, จำเลยที่ 4 ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยกเว้นข้อหาที่ 4 ที่ให้การรับสารภาพ โดยเหตุผลในการปฏิเสธระบุว่า ทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ร่วมทำร้ายจริง แต่ไม่เจตนาให้ถึงแก่ชีวิต, จำเลยที่ 5-7 ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จำเลยที่ 5 และ 7 ให้เหตุผลว่าอยู่ในเหตุการณ์ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ไม่ได้ร่วมทำร้าย ส่วนจำเลยที่ 6 ระบุว่า เข้าไปในที่เกิดเหตุ แล้วเดินออกมา โดยเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปแล้ว