นับไปถึงเมื่อต้นปีที่เราตั้งหน้าตั้งตาคอยว่าเจ้าแมวดีหรือที่ในจีนเรียกว่ารุ่น “ฮ่าวหมาว” (แปลว่าแมวดี) จะเปิดราคาขายในบ้านเราด้วยราคายั่วใจเพียงใดในตอนนั้น จนมาถึงวันนี้ได้ทราบกันแล้วว่าค่ายเกรทวอลล์มอเตอร์เปิดตัวเจ้าแมวดีออกมาเป็น 3 ระดับราคาด้วยกัน คือรุ่น 400 เทค (Tech) รุ่นพื้นฐานวิ่งได้ 400 กม. มีราคา 989,000 บาท

ตามมาด้วยรุ่น 400 โปร อยู่ที่ 1.059 ล้านบาท ทั้งสองรุ่นใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต 47.788 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่ในรุ่นโปรมีการตกแต่งที่เฟี้ยวฟ้าวขึ้น อาทิ ใช้ล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว แทนที่จะเป็นแบบฝาครอบล้อขนาด 17 นิ้ว เช่น ในรุ่นเทค และรุ่นโปรยังมาพร้อมเบาะหนังสังเคราะห์และหุ้มแผงคอนโซลด้วยหนังกลับ แทนที่จะเป็นเบาะผ้าเช่นในรุ่นเทค

นอกจากนั้นยังให้เบาะนั่งด้านคนขับเป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง และหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิกที่ยาวแทบเต็มเพดาน รวมถึงยังมีออพชั่นสำหรับชีวิตไฮเทคเพิ่มอีกเพียบ อาทิ แท่นชาร์จมือถือแบบไร้สาย ระบบเชื่อมต่อระยะไกลผ่านแอพพลิเคชั่น ไปจนกระทั่งระบบช่วยในการเข้าโค้งอัตโนมัติที่แทบจะปล่อยมือเข้าโค้งได้เลยเสียด้วย

ส่วนใครที่ชอบออพชั่นจัดเต็มก็คงจะต้องเพิ่มเงินอีก 1.4 แสนบาท เป็นที่ 1.199 ล้านบาท เพื่อที่จะเอารุ่น 500 อัลตร้า (Ultra) ที่ใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมเธอนารีได้ความจุเพิ่มเป็น 63.139 กิโลวัตต์ชั่วโมง จึงสามารถวิ่งได้ไกลขึ้นเป็น 500 กม. และนอกจากนั้นในรุ่น 500 อัลตร้า ยังมีตัวเลือกสุดว้าวเพิ่มขึ้นมาคือรถสีเขียวหลังคาขาวที่มาพร้อมห้องโดยสารแบบทูโทนเขียว-เทา และถ้าชอบแนวติดหรูก็ต้องสีเบจหลังคาสีน้ำตาลที่มาพร้อมห้องโดยสารแบบทูโทนเบจ-น้ำตาล ซึ่งคู่สีนี้มีเฉพาะรุ่น 500 อัลตร้า เท่านั้น

แต่หากจะว่าในด้านสมรรถนะแล้วทั้ง 3 รุ่นมีความสูสีไม่แตกต่างกันคือมอเตอร์มีกำลัง 143 แรงม้า มีแรงบิด 210 นิวตัน-เมตร และทำความเร็วได้ 152 กม./ชม. ส่วนอัตราเร่งเราไม่ได้จับเวลาจริงจังแต่เราพบว่าความรู้สึกราวกับรถเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรก็ว่าได้ อัตราเร่งแซงในเมืองเรียกว่าหายห่วง รถที่เราทำการทดสอบนั้นเป็นรุ่น 400 โปร สีฟ้าคอรัลที่ดูสีหวานสบายตารับกันดีกับงานออกแบบตัวรถที่ดูคล้ายปอร์เช่การ์ตูนซึ่งเท่าที่ถามสาว ๆ ที่ได้มาเห็นต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “น่ารักมาก” ภายในความน่ารักของงานออกแบบนี้นักออกแบบของเกรทวอลล์ มอเตอร์ ก็ได้สอดใส่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หากได้มาดูใกล้ ๆ ถึงจะเห็น อาทิ รอยยุบรูปรังผึ้งเล็ก ๆ บริเวณริมกันชนหน้าซ้ายและขวา เป็นต้น

ส่วนงานออกแบบภายในมาพร้อมห้องโดยสารหุ้มหนังสังเคราะห์สีดำ แผงหน้าปัดหุ้มหนังกลับ พร้อมมีการเดินด้ายเป็นสีน้ำเงิน สัมผัสของห้องโดยสารมีความนุ่มสบายมือให้ความรู้สึกที่ดีไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องว้าว! ก็เห็นจะเป็นหน้าปัดทรงนอนที่ยาวได้ใจ และส่วนของจอกลางเป็นแบบสัมผัสที่ใช้สำหรับควบคุมสารพัดหน้าที่ จนทำให้ในรถคันนี้มีปุ่มให้กดน้อยเหลือเกิน ซึ่งจะว่าไปบางทีก็แอบคิดว่ามันจะใช้ยากไปไหม แต่เอาจริง ๆ บางหน้าที่ก็ชดเชยด้วยการสั่งงานด้วยเสียงแทนได้เหมือนกัน

แน่นอนว่า โอร่า กู๊ด แคท มาพร้อมกับพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันตามสมัยนิยม แต่ต้องบอกเลยว่าการที่ผู้ทดสอบไม่ได้รับการสอนวิธีใช้อย่างจริงจังจากตัวแทนจำหน่ายและใช้การ “คลำ” หาเอาเอง หลาย ๆ หน้าที่พบว่าเข้าใจยากไปสักนิด โดยเฉพาะในส่วนของระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติด้านตัวรถแม้ในรูปเราอาจจะมองมันเป็นรถคันเล็ก แต่เอาเข้าจริง ๆ “มันหลอกตา” เพราะรถจริงคันใหญ่กว่าที่คาดนัก เรียกว่าคันพอ ๆ กับรถมินิคันทรีแมนนั่นเอง

ดังนั้นด้วยมิติตัวถังที่ใหญ่โตทำให้ห้องโดยสารนั้นโอ่โถงตามไปด้วยเป็นเงาตามตัว นั่งสบายทั้งเบาะหน้าและเบาะหลัง แต่ในขนาดตัวรถที่ใหญ่โตนี้ ห้องสัมภาระกลับเล็กกว่าที่คาด แถมขอบธรณีประตูท้ายก็ยังสูงมากอีกด้วย สูงชนิดที่ถ้าคนตัวสูงราว 155 ซม. จะนั่งที่ขอบประตูท้ายต้องกระโดดให้ตัวลอยขึ้นไปจึงจะนั่งถึงขอบบานประตูท้ายได้

สรุปว่าในเวลาสั้น ๆ ที่อยู่ด้วยกันนั้นเจ้าแมวดีเป็นหนึ่งในรถไฟฟ้าราคาระดับหนึ่งล้านบาทที่น่าใช้คันหนึ่ง แต่ถ้าใครยังอยากได้รถที่ราคาย่อมเยาลงกว่านี้อีกก็ต้องรอเจ้าแมวดำ โอร่า แบล็ก แคท หรือเจ้าแมวขาว ไวท์ แคท ก็แล้วกัน แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะแมวขาวหรือแมวดำ ถ้ามัน “จับหนูได้” มันก็คือแมวดี ดังคำที่ท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง รัฐบุรุษจีนเคยกล่าวเอาไว้นั่นเอง

ทางด้าน “ต้น” หรือ “มานัต กุละปาลานนท์” นักแข่งมืออาชีพระดับโลก นักทดสอบขาประจำ “ป้ายแดงชวนขับ” ภายหลังจากไปคว้าชัยจากการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ 24 ชั่วโมง ที่สนามนูร์เบอร์กริง ได้มาทดสอบโอร่า กู๊ด แคท รุ่น 400 โปร บอกว่าเวลานี้ได้รับความสนใจเพราะเทรนด์รถไฟฟ้าที่กำลังมาแรงเป็นซิตี้คาร์ไซซ์ใหญ่พอตัว เห็นตัวจริงไม่ได้เล็กอย่างที่คิด เดิมคิดว่าเป็นแมวตัวเล็ก ๆ ปรากฏว่ามีความโปร่ง อ้วน ๆ ดีไซน์เน้นมีโค้งให้อารมณ์เหมือนรถคลาสสิกสมัยก่อน ดูหน้าตาด้านหน้าไฟขนาดใหญ่เป็นแบบฟูลแอลอีดี มีกล้องตัวจิ๋วอยู่ด้านล่าง โทนสีดำมีเส้นโครเมียมดูสวยดีมีรังผึ้งดีไซน์ให้มีกิมมิกเบา ๆ โดยรวมน่ารักดีแม้ว่าจะขาดนิด ๆ หน่อย ๆ

ฝากระโปรงมีสัน 2 อันแข็งแรง ด้านข้างเป็นคีย์เลสกระจกข้างดีไซน์ย้อนยุคให้กลับไปคล้ายยุคเก่า แต่มีความสมัยใหม่เข้ามาเสริม เช่น มีโครเมียมบ้าง เน้นความโค้งที่บริเวณฝากระโปรงหน้าไปจนถึงด้านท้าย ล้อขนาด 18 นิ้ว ด้านท้ายใช้ไฟแอลอีดียาวเส้นเดียวจดซ้ายขวาผมชอบด้านท้ายนะเหมือนตูดแมว ดูเป็นรถกึ่งอนาคตเบา ๆ เข้ากันดี ด้านที่เก็บของลึกไม่มากเน้นการพับเบาะแล้ววางของเข้าไปประเภทกระเป๋าใบ 1 ใบ แต่ถ้าใช้งานจริง ๆ สามารถพับเบาะที่ปรับดึงไม่ยาก ไฟท้ายอยู่ในกระจกหลังมีสปอยเลอร์ ไม่มีที่ปัดน้ำฝนแต่ไม่มีปัญหา

เมื่อเข้ามานั่งด้านหลังพบว่าเลกรูมเตี้ยไปนิดนึง ไม่มีปัญหาเรื่องความชันของเบาะมีที่เท้าแขนก็โอเค หนังที่ใช้นิ่ม ซันรูฟกว้างครึ่งคันดูโปร่งโล่งสบายทีเดียว แต่ที่นั่งด้านหน้าสวยให้อารมณ์เหมือนรถคลาสสิก ไม่ได้โอบกระชับนักแต่ถือว่านั่งสบายปรับได้ 6 ทิศทาง

มาถึงการขับการสตาร์ตทำง่าย ๆ เพียงแค่เหยียบเบรกระบบขับเคลื่อนก็พร้อม มีปุ่มกดให้ใช้ เพียงแค่มีกุญแจอยู่กับตัวก็โอเคแล้ว โดยคอนโซลและแดชบอร์ดด้านหน้าสวยเรียบง่ายมีแค่แบ่งโซนจอขนาด 17 นิ้ว ออกเป็น 2 ฟังก์ชัน พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันขนาดกว้างไปนิดนึงให้หนังนิ่มมือมีลูกเล่นเยอะมาก กล้อง 360 องศามีความคมชัดเหมือนรถยุโรป

อย่างไรก็ตามช่วงแรกจะงง ๆ กับการใช้งานของจอนิดหน่อยเพราะทุกอย่างต้องปรับจากหน้าจอโดยคนขับ ปุ่มที่ให้มา 4 ปุ่ม ไฟไล่ฝ้าหน้าหลังฉุกเฉิน เกียร์ ปรับจากหน้าจอไม่มีปุ่มหมุน ช่องยูเอสบีเหมือนถาดวางของ เกียร์อาร์ เอ็น ดี ดึงเบรกมือไม่ให้ขยับ กระจกโค้งมากทำให้การกะระยะกระจกยากนิดนึงแต่ด้วยระบบตัวช่วยเยอะโดยรวมกำลังของรถ 143 แรงม้ากับแรงบิด 210 นิวตัน-เมตร กับโหมดการขับ 5 รูปแบบ

ซึ่งโหมดอัตโนมัติปกติที่จังหวะแรกกับการออกตัวรู้สึกว่าแรงโดยเฉพาะช่วง 60 กม./ชม. ฟีลลิ่งของคันเร่งแรงตอบสนองทันใจ จังหวะทอร์กมาดีมาก หลังจากไต่ความเร็ว 0-100 กม./ชม. จนถึง 120 กม./ชม. รู้สึกอืด ๆ แต่ยังไปได้เรื่อย ๆ แต่ต้องปรับตัวเล็กน้อยสำหรับจังหวะถอนคันเร่งรู้สึกหัวทิ่มเหมือนใครช่วยเบรก แนะนำถ้าอยากเบรก ก็แค่ยกคันเร่งลง เราแตะคันเร่งนิดนึงรถไหลช้า ๆ สมูทขึ้น

อันนี้ผมลองแก้ดูเผื่อจะเป็นประโยชน์ มีฟังก์ชันช่วยเหลือดังเตือนเยอะมาก ทั้งเตือนการใช้แบตเตอรี่ เตือนคันหน้าและอีกหลายอย่าง มันเลยงงนิดหน่อย โอเคเราต้องปรับตัว ปุ่มที่พวงมาลัยเยอะมากงงมาก ตอนขับปุ่มหลายอย่างต้องปรับฟังก์ชันจากหน้าจอจากพวงมาลัย

โอร่า กู๊ด แคท มีระบบฟังก์ชันเยอะดังเตือนขึ้นมาเพียบถือว่าเราต้องปรับตัว โดยเฉพาะปุ่มที่พวงมาลัยเยอะใหม่ ๆ อาจงงเล็กน้อย น้ำหนักเบรกและช่วงล่างนิ่มนวลดีใช้ในเมืองโคตรดีเลย นั่งสบายโปร่งไม่แข็งกระด้าง มีเสียงเข้ามารบกวนในห้องโดยสารน้อย ส่วนมุมมองกระจกใหญ่ชัดเจนดี.