เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 29 ธ.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.จิดาภา ชีนารักษ์ อายุ 24 ปี นักธุรกิจสาวสวย เจ้าของกระเป๋าแอร์เมส (Hermes Constance 24) ที่ถูกเจ้าของร้านรับซื้อกระเป๋าเบรนด์เนมไลฟ์สด อ้างว่าเป็นของปลอม เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายณภาภัช เนตรระหงส์ หรือ ทีน่า ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 700,000 บาท จากกรณี น.ส.จิดาภา โจทก์ได้ตกลงขายกระเป๋า Hermes Constance 24 ให้กับร้านรับซื้อแบรนด์เนมในราคา 390,000 บาท จากที่ซื้อมาประมาณ 500,000 บาท ต่อมา นายณภาภัช หรือ ทีน่า เจ้าของร้าน ตรวจสอบและบอกว่าเป็นของปลอม จึงใช้ปากกาเขียนลงที่กระเป๋าว่า “ปลอม” อ้างว่าทำแบบเดียวกับที่ช็อปแอร์เมส จากนั้นเจ้าของกระเป๋าจึงมาขอรับกระเป๋าคืน โดย ทีน่า อัดคลิปเผยว่า ถ้าใบนี้เป็นของแท้ให้เลย 2 ล้านบาท และจะเลิกเป็นกะเทย ต่อไปจะไม่มีทีน่า และเปลี่ยนชื่อเป็น สรพงษ์

ภายหลังยื่นฟ้องเสร็จแล้ว ศาลได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 3323/2564 เพื่อนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 28 ก.พ.2565 เวลา 13.30 น.

ศึกกระเป๋าแบรนด์เนม! เจ้าของลั่นขอจบที่ 2 ล้าน ‘ทีน่า’ ยอมเปลี่ยนชื่อ แต่ไม่ขอจ่าย

ด้านนายเกิดผล กล่าวว่า มาฟ้องคุณทีน่า ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 7 แสนบาท ซึ่งฟ้องหมิ่นประมาทรวมทั้งหมด 5 กรรม จากการโพสต์หรือไลฟ์สด กล่าวหาว่าน้องชมพู่นำกระเป๋าปลอมมาหลอกขาย และมีลักษณะยืนยันว่าน้องชมพู่ เป็นมิจฉาชีพ รวมทั้งมีถ้อยคำบางส่วนที่บอกว่าเป็นลูกทรพี หรือ ด่าหยาบคายหลายข้อความ นอกจากนี้ยังมีการเขียนข้อความว่า ปลอม ลักษณะยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้น้องชมพู่ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เพราะคุณทีน่าเป็นคนมีชื่อเสียง ขณะทำการไลฟ์สด มีผู้ชมและแชร์การดู 3 หมื่นกว่าครั้ง

เมื่อถามว่า จะนำหลักฐานใบการันตีกระเป๋าแบรนด์เนมของแท้ จากสถาบันที่ตรวจสอบ มายืนยันต่อศาลด้วยหรือไม่ นายเกิดผล กล่าวว่า เตรียมมาแน่นอน เพราะเขาอาจจะโต้เถียงว่ากระเป่าดังกล่าวเป็นของปลอมก็ได้ อาจจะอ้างเป็นข้อเท็จจริงไว้ต่อสู้คดี เราจึงจำเป็นต้องนำใบการันตีทุกอย่างที่เกี่ยวข้องมาพิสูจน์ต่อศาล

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ฝ่ายจำเลย ได้มีการติดต่อเจรจาหรือพูดคุยน้องชมพู่ หรือยัง นายเกิดผล กล่าวว่า ตนเองได้พูดคุยกับน้องชมพู่มาโดยตลอด ซึ่งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเรื่องนี้ก็มีการพิสูจน์แล้วว่ากระเป๋าดังกล่าวเป็นกระเป๋าแท้ ไม่ใช่ของปลอม แต่คุณทีน่าเอง ไม่เคยกล่าวคำขอโทษ หรือ แสดงความรับผิดชอบ แถมยังท้าท้ายให้น้องชมพู่นำคดีมาฟ้องเองด้วยซ้ำ หลังออกรายการทีวี จึงจำเป็นต้องมายื่นฟ้องเป็นคดีตามที่เขาท้าทาย และตามสิทธิของน้องชมพู่ ส่วนเรื่องประเด็นคำท้าว่าถ้าเป็นกระเป๋าจริง จะจ่ายให้ 2 ล้านนั้น เขายังไม่จ่ายและให้มาฟ้องคดีเอาเอง อย่างไรก็ตามเรื่องจะจ่ายเงิน 2 ล้านบาทนี้ เรารอเอกสารจากพนักงานสอบสวนก่อน เพื่อจะได้นำมาใช้เป็นหลักฐานยื่นฟ้องอีกคดี ในช่วงหลังปีใหม่นี้ และมั่นใจว่าสามารถดำเนินการได้

“ก็เขารับปากอย่างนั้น ไม่ใช่เฉพาะไลฟ์สด แต่พยานหลักฐานมีมากกว่านี้ เพียงแต่นำมาเปิดเผยในชั้นนี้ไม่ได้เท่านั้นเอง เขาไม่ยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดมีมากกว่าในไลฟ์สด หรือมากกว่าการพูดเล่น จริงๆ แล้วคือคำมั่นแล้วน้องชมพู่ก็รับข้อความคำมั่นนั้น สัญญาจึงเกิดขึ้น เป็นสัญญาที่เกิดขึ้นจากข้อตกลง ว่าถ้าเป็นกระเป๋าของแท้ คุณทีน่าจะจ่าย 2 ล้านบาท ซึ่งมีการแคปข้อความไว้ด้วย” ทนายเกิดผล กล่าว

ส่วนกรณีของการให้คำสัญญาว่าจะเปลี่ยนชื่อตนเองจากทีน่า เป็นสรพงษ์ และมีการขอบ่ายเบี่ยงว่าชื่อสรพงษ์ไม่ถูกโฉลก มีอักษรและวรรณยุกต์ที่เป็นกาลกิณี โดยจะขอเปลี่ยนเป็นชื่อประยุทธ์แทน จากนั้นก็ประกาศผ่านโลกออนไลน์ว่าได้เปลี่ยนชื่อแล้ว แต่จากการตรวจสอบของทนายความล่าสุด เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา พบข้อมูลในทะเบียนราษฎร์ว่ายังคงใช้ชื่อและนามสกุลเดิม โดยไม่ได้เปลี่ยนเป็นสรพงษ์หรือประยุทธ์ และเมื่อวานนี้จึงเข้าไปตรวจสอบในทะเบียนราษฎร์อีกครั้งหนึ่งว่าชื่อนามสกุลจริงของคู่กรณีคืออะไร ก็พบว่ายังคงใช้ชื่อและนามสกุลเดิม ซึ่งถือได้ว่าคู่กรณีไม่ได้ทำตามสัญญา แต่ลูกความไม่ถือสาเอาความรู้สึกดังกล่าวเป็นคดี.