สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ว่า กระทรวงกลาโหมของอินเดียออกแถลงการณ์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่าในระหว่างการปฏิบัติภารกิจซ่อมบำรุงตามกำหนด เมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา มีความผิดพลาดทางเทคนิคเกิดขึ้น ส่งผลให้มีการยิงขีปนาวุธออกไป “โดยไม่เจตนา”


ทั้งนี้ ขีปนาวุธลูกดังกล่าวตกลงในดินแดนที่อยู่ภายในอาณาเขตอธิปไตยของปากีสถาน เคราะห์ดีไม่มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและกองทัพอินเดียมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยจะมีการสอบสวนอย่างเป็นทางการ


ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของปากีสถานเผยแพร่แถลงการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าได้เชิญอุปทูตอินเดียประจำกรุงอิสลามาบัดเข้าพบ เพื่อตักเตือนเรื่องการละเมิดน่านฟ้า “ผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝัน” หากทั้งสองประเทศสื่อสารกันคลาดเคลื่อน และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนเที่ยวบินพาณิชย์ซึ่งอาจเดินทางผ่านมาพอดี

India Today


ด้านข้อมูลจากกองทัพปากีสถานระบุว่า ขีปนาวุธลูกนี้ไม่ได้ติดอาวุธใด และตกลงในพื้นที่ห่างไกลของเมืองเมียน จันนู อยู่ทางตะวันออกของประเทศ หากจากกรุงอิสลามาบัดประมาณ 500 กิโลเมตร


อนึ่ง อินเดียกับปากีสถานทำสงครามกันอย่างเปิดเผยมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี 2490, 2508 และ 2514 ปัจจุบันรัฐบาลนิวเดลีมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ราว 110 หัว แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามีมากกว่านั้น และอินเดียกำลังเร่งพัฒนาศักยภาพในการผลิต เพื่อเพิ่มจำนวนหัวรบชนิดนี้ให้มากขึ้นอีก หลังทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกเมื่อปี 2517

ขณะที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ยืนยันแผนยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ของอินเดีย คือเพื่อความปลอดภัยของประชาชน และรักษาความมั่นคงของชาติ


ส่วนจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ของกองทัพปากีสถานเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ทางการเมือง และการทหารของรัฐบาลปากีสถาน เพื่อต่อกรกับ “คู่อริตลอดกาล” นั่นคืออินเดีย แม้นโยบายของรัฐบาลอิสลามาบัดในภาพรวม ไม่เคยมีกรอบชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลหลายคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องมีไว้เพื่อป้องกันประเทศ.

เครดิตภาพ : REUTERS