นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และโฆษก ขบ. เปิดเผยว่า จากวิกฤติพลังงานที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกในขณะนี้ ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานในประเทศไทยปรับตัวขึ้นตามราคาตลาดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ขบ. ขอแนะนำวิธีขับขี่รถที่จะช่วยประหยัดพลังงาน ลดภาระค่าใช้จ่าย และเป็นวิธีง่าย ๆ ที่เจ้าของรถสามารถทำได้ทันที 5 ข้อ ดังนี้

1.ควรใช้ความเร็วคงที่ประมาณ 80-90 กม./ชม. เนื่องจากช่วงความเร็วนี้ ทำให้เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพในการเผาผลาญเชื้อเพลิงได้ดีที่สุด ทั้งนี้ควรใช้เกียร์ที่เหมาะสมเพื่อมิให้รอบเครื่องยนต์สูงเกินไป 2.ไม่ควรเบิ้ล กระชาก ลากเครื่องยนต์ เนื่องจากการเร่งเครื่อง การเหยียบคันเร่งจนมิด จะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงถูกฉีดเข้าห้องเผาไหม้มากยิ่งขึ้น นอกจากสิ้นเปลืองแล้ว น้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเกินจะทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ เกิดเป็นมลพิษ หรือในกรณีเครื่องยนต์ดีเซลก็จะทำให้เกิดควันดำ เพิ่มปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในอากาศอีกด้วย ดังนั้น การค่อย ๆ เหยียบคันเร่ง ขับรถให้นิ่มนวล ใช้ความเร็วสม่ำเสมอจะช่วยประหยัดน้ำมันทันทีตั้งแต่ช่วงที่ออกตัว

นายเสกสม กล่าวต่อว่า 3.ไม่ควรเร่งรถหรือเบรกกะทันหัน การเร่งความเร็วบ่อยครั้ง และเบรกอย่างหนักเป็นการกระตุ้นให้เครื่องยนต์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น เพิ่มอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งคนขับรถและผู้ใช้รถใช้ถนนอีกด้วย ดังนั้น ผู้ขับจะต้องหมั่นคาดการณ์สภาพจราจรด้านหน้าและรอบข้างตลอดเวลาที่ขับรถ เมื่อรถข้างหน้าหยุดหรือมีสิ่งกีดขวาง ควรค่อย ๆ ชะลอความเร็วก่อนหยุด และเมื่อสภาพการจราจรด้านหน้าสะดวก จึงค่อย ๆ เร่งความเร็วรถอย่างต่อเนื่อง การขับลักษณะนี้ นอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว ยังจะช่วยรักษาสภาพเครื่องยนต์ ล้อยาง และผ้าเบรกให้สึกหรอน้อยลงอีกด้วย

4.เติมลมยางตามกำหนดที่คู่มือรถแนะนำ การเติมลมยางจะช่วยลดการเผาผลาญน้ำมัน เพราะหากลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้หน้ายางบดกับพื้นถนนและเกิดแรงต้านมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น และสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม การเติมลมยางแข็งเกินไป แม้ว่าจะช่วยลดแรงต้านของยาง แต่ก็จะทำให้การยึดเกาะถนนน้อยลง ดังนั้นจึงควรเติมลมยางตามที่คู่มือกำหนดและหมั่นตรวจเช็กลมยางด้วย และ 5.บรรทุกสัมภาระเท่าที่จำเป็น การบรรทุกน้ำหนักมากจะส่งผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของรถ ดังนั้น หากมีสัมภาระที่ไม่จำเป็นก็ควรจะนำออกจากรถ ซึ่งนอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันน้อยลงแล้ว ยังทำให้รถสะอาดเรียบร้อยอีกด้วย 

นายเสกสม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เจ้าของรถควรหมั่นตรวจเช็กสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ ให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสามารถตรวจเช็กรถเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง หรือนำรถเข้าศูนย์บริการให้ช่างที่มีความชำนาญดำเนินการ โดยควรหมั่นทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง กรองน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาหรือเปลี่ยนเร็วกว่ากำหนดสำหรับรถที่ใช้งานหนัก เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ผู้ผลิตรถกำหนด ตรวจเช็กและปรับตั้งหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นละอองและมีแรงดันตามที่ผู้ผลิตกำหนด ปรับตั้งปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงและตั้งจังหวะการฉีดเชื้อเพลิงให้ถูกต้อง เพื่อยืดเวลาการใช้งานรถยนต์ออกไปให้ยาวขึ้น ซึ่งวิธีการต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการค่าบำรุงรักษารถและลดค่าเชื้อเพลิงให้กับเจ้าของรถได้อีกทางหนึ่ง ทั้งยังช่วยลดมลพิษทางอากาศอีกด้วย