เมื่อวันที่ 25 มี.ค. นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม ได้ชี้แจงขั้นตอนกระบวนการพิจารณาคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับ จากกรณีนายรังสิมันต์ โรม ซึ่งถูกพนักงานสอบสวน สน.บางขุนนนท์ แจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา (มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5​ จังหวัด​ เป็นผู้เสียหาย) ได้โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียล และให้สัมภาษณ์ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกระบวนการยื่นคำขอออกหมายจับและคำสั่งออกหมายจับของศาลอาญาตลิ่งชัน ว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค.64 พนักงานสอบสวน​ สน.บางขุนนนท์ ผู้ร้อง ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับ นายรังสิมันต์ ผู้ต้องหา โดยอ้างเหตุผู้ต้องหาไม่พบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก 2 ครั้ง คือ ในวันที่ 15 ต.ค.64 และวันที่ 26 ต.ค.64 โดยศาลอาญาตลิ่งชัน ดำเนินการไต่สวนผู้ร้องแล้วเห็นว่าในวันดังกล่าวยังไม่มีเหตุออกหมายจับเนื่องจากปรากฏตามรายงานว่าผู้ต้องหาติดประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ระหว่างวันที่ 25-27 ต.ค.64 จึงมีเหตุผลที่ผู้ต้องหาไม่อาจไปพบพนักงานสอบสวนได้ มีคำสั่งให้ยกคำร้องขอออกหมายจับ

ต่อมาวันที่ 5 มี.ค.65 พนักงานสอบสวน​ สน.บางขุนนนท์ ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอออกหมายจับเป็นครั้งที่ 2 โดยอ้างเหตุผู้ต้องหาไม่มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ศาลไต่สวนผู้ร้องแล้ว เห็นว่าในขณะที่ออกหมายเรียกยังอยู่ในสมัยประชุมรัฐสภาอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2560 มาตรา 125 เมื่อผู้ต้องหาไม่ได้ไปพบผู้ร้องในวันนัด จึงไม่เป็นการขัดหมายเรียก จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอออกหมายจับ

กระทั่งวันที่ 14 มี.ค.65 พนักงานสอบสวน สน.บางขุนนนท์ ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอออกหมายจับครั้งที่ 3 โดยอ้างเหตุว่าผู้ต้องหาไม่มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกในวันที่ 11 มี.ค. 65 ศาลไต่สวนพยานหลักฐานต่างๆ ประกอบพยานเอกสารคำร้องขอความเป็นธรรมของนายรังสิมันต์ ที่ยื่นต่อ ผบช.น.แล้ว นัดให้ฟังมีคำสั่งวันที่ 15 มี.ค.

จนวันที่ 15 มี.ค.65 ศาลอาญาตลิ่งชัน มีคำสั่งให้ออกหมายจับผู้ต้องหา เนื่องจากปรากฏพยานหลักฐานจากการไต่สวนว่า ผู้ร้องยืนยันว่าผู้ร้องได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน
ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้จนเสร็จสิ้นแล้วมีความเห็นควรสั่งฟ้อง นายรังสิมันต์ โรม ผู้ต้องหาในความผิดฐาน หมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา เสนอผู้บังคับบัญชาแล้ว ต่อมาผู้บังคับบัญชามีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาเมื่อวันที่ 29พ.ค. 2564 ผู้ร้องประสงค์จะนำตัว ผู้ต้องหาพร้อมสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการอันเป็นการดำเนินการตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 142 จึงมีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาครั้งที่ 1 ลงวันที่ 6 ต.ค. 2564 ให้ไปพบผู้ร้องในวันที่ 15 ต.ค. 2564 แต่ในวันที่ 15 ต.ค. 2564 ผู้รับมอบอำนาจผู้ต้องหา ได้มาแจ้งเหตุขัดข้องว่าผู้ต้องหาติดประชุมพรรคก้าวไกลขอเลื่อนการเข้าพบผู้ร้องเป็นวันที่ 26 ตุลาคม 2564 ผู้ร้องจึงได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาครั้งที่ 2 ลงวันที่ 14 ต.ค. 2565 ให้ผู้ต้องหาไปพบผู้ร้อง
ในวันที่ 26 ต.ค. 2564

ครั้นในวันที่ 25 ต.ค. 2564 ผู้รับมอบอำนาจผู้ต้องหาได้มาแจ้งเหตุขัดข้องว่า ผู้ต้องหาติดประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.​ … ขอเลื่อนวันเข้าพบผู้ร้องออกไปก่อน แต่ผู้ร้องได้แจ้งแก่ผู้รับมอบอำนาจผู้ต้องหาว่า วันนัดวันที่ 26 ต.ค. 2564 เป็นวันที่ผู้ต้องหาเป็นผู้กำหนดเองจึงขอให้ไปแจ้งผู้ต้องหาให้มาพบผู้ร้องในวันดังกล่าว แต่ผู้ต้องหาก็ไม่ได้มาตามนัดและตามหมายเรียก ต่อมาผู้ร้องโทรศัพท์ไปหาทนายความของผู้ต้องหาเพื่อให้สอบถามผู้ต้องหาว่าจะมาพบผู้ร้องได้เมื่อไร ทนายความของผู้ต้องหาแจ้งแก่ผู้ร้องว่าผู้ต้องหาตกลงจะมาพบผู้ร้องในวันที่ 3 พ.ย. 2564 แต่ผู้ต้องหาก็ไม่ได้มาตามที่นัด

จนกระทั่งผู้ร้องได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาครั้งล่าสุดลงวันที่ 5 มี.ค. 2565 ให้ไปพบผู้ร้องในวันที่ 11 มี.ค. 2565 แต่ผู้ต้องหาก็ไม่ได้มาพบผู้ร้องตามหมายเรียก โดยเพียงแต่ให้ผู้รับมอบอำนาจมาแจ้งเหตุขัดข้องว่าผู้ต้องหาติดประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ขอเลื่อนวันเข้าพบผู้ร้องเป็นวันที่ 31 มี.ค. 2565 โดยได้แนบหลักฐานสรุปผลการประชุมคณะทำงานการบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายปกครองหรือตำรวจครั้งที่ 2 ลงวันที่ 5 มี.ค. 2565​ และประกาศคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ตั้งคณะทำงานศึกษาการบังคับใช้กฎหมายของ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ​ โดยมีผู้ต้องหาเป็นหนึ่งในคณะทำงานในตำแหน่งรองประธานคนที่ 2 เท่านั้น แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดที่แสดงว่าผู้ต้องหาติดประชุมในวันที่ 11 มี.ค. 2565 ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งนี้ผู้ร้องยังได้ตรวจสอบในเว็บไซต์คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ก็ไม่พบว่ามีการนัดประชุมในวันที่ 11 มี.ค. 65

ศาลจึงเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างของผู้ต้องหาที่ไม่มาพบผู้ร้องในวันที่ 11 มี.ค.65 ตามหมายเรียกโดยอ้างเหตุว่าติดประชุมไม่อาจรับฟังได้ เนื่องจากไม่ปรากฏรายละเอียดที่แสดงว่าผู้ต้องหาติดประชุมในวันที่ 11 มี.ค.ตามที่กล่าวอ้าง และส่อไปในทางบ่ายเบี่ยงไปเรื่อยๆ เพื่อไม่มาตามหมายเรียก ถือว่าเป็นการไม่มาตามหมายเรียกโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควรและให้สันนิษฐานว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี เมื่อได้ความว่าผู้ร้องมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา และดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา จึงเป็นกรณีที่มีหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำความผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีไม่ยอมมาพบผู้ร้องตามหมายเรียก จึงอนุญาตให้ออกหมายจับผู้ต้องหาตามขอ และเมื่อจัดการตามหมายจับได้แล้วให้ส่งบันทึกการจับกุมต่อศาลภายใน 7 วัน

ต่อมาวันที่ 17 มี.ค.65 นายรังสิมันต์ ผู้ต้องหา มีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกรณีการขอออกหมายจับยื่นถึงอธิบดีผู้พิพากษาตลิ่งชัน ซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาฯ พิจารณาทุกประการแล้วเห็นว่าพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอให้ออกหมายจับเมื่อวันที่ 14 มี.ค.65 ศาลได้ไต่สวนพยานบุคคล พยานหลักฐานต่างๆ รวมทั้งพยานเอกสารคำร้องขอความเป็นธรรม แล้วมีคำสั่งในวันที่ 15 มี.ค.65 ให้ออกหมายจับตามคำขอ