ต้องยอมรับว่าการแข่งขันกีฬา ทั้งที่เป็นมหกรรมกีฬานานาชาติ รวมทั้งกีฬาเดี่ยวระดับโลกในปัจจุบันนั้น นอกจากพรสวรรค์และพรแสวงของเหล่านักกีฬาทุกคนแล้ว

เรื่องของการวางแผนเตรียมความพร้อมอย่างถูกระบบ ด้วยการนำเอาเรื่องของวิทยาศาสตร์การกีฬา เข้ามาพัฒนาเสริมจุดแกร่ง ดับจุดอ่อนให้กับนักกีฬา ถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกของกีฬาระดับโลกอย่างแท้จริง

ความสำเร็จของนักกีฬาทีมชาติไทย ก็เช่นเดียวกัน ได้มีการนำเอา วิทยาศาสตร์การกีฬา เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเค้นเอาความสามรรถของพวกเขามาใช้อย่างเต็มเปี่ยมเต็มพลัง ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงก็ไม่ใช่องค์กรใด หากแต่เป็นการกีแห่งประเทศไทย หรือ กกท. นั่นเอง

โดยในปีนี้ ทัพนักกีฬาไทย มีมหกรรมกีฬานานาชาติ ที่ กกท. มุ่งเน้นหวังสร้างผลงานให้ยอดเยี่ยมตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมของนักกีฬาในทุกระดับเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับนักกีฬาไปลุยศึกนานาชาติอย่างต่อเนื่อง

ซึ่ง กกท. ได้มีการวางแผนร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ทั้งจากฝ่ายวิทยาศาสตร์การกีฬาของ กกท. รวมทั้งจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันที่มีความรู้ความสามารถอย่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้ามาดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ในเบื้องต้นมีมหกรรมกีฬาใหญ่ที่ต้องติดตามประเมินผล รวมทั้งหมด 4 มหกรรมกีฬา ประกอบด้วย ซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 12-23 พ.ค., อาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 11 ที่เมืองโซโล ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 30 ก.ค.-6 ส.ค., เอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 10-25 ก.ย. และปิดท้ายด้วยเอเชี่ยนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 9-15 ต.ค.65

ล่าสุด รองชุมนายประชุม บุญเทียม รองผู้ว่าการ ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา กกท. ในฐานะหัวเรือใหญ่ในเรื่องนี้ก็ได้มีการประชุมร่วมกับคณะทำงานวิเคราะห์และประเมินผลศักยภาพนักกีฬาทีมชาติไทย ในการเตรียมความพร้อมและฝึกซ้อมไปเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ โดยมีผู้แทนจากคณะกรรมกาารโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ รวมทั้งนักวิชาการจาก ม.เกษตรศาสตร์ ตลอดจนคณะผู้บริหาร และทีมงาน เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ฝ่ายพัฒนากีฬาเป็นเลิศ กกท. ได้รับการอนุมัติจัดจ้าง ม.เกษตรศาสตร์ เป็นที่ปรึกษา เพื่อวิเคราะห์การพัฒนาศักยภาพของนักกีฬา มีวัตถุประสงค์เพื่อรวมรวม วิเคราะห์และประเมินการเตรียมทีมนักกีฬาไทย ที่จะเข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬานานาชาติ จากนั้นจะนำเสนอแนวทางให้กับ กกท. ในการสนับสนุนงบประมาณและปรับปรุงการเตรียมทีมนักกีฬา สำหรับการแข่งขันมหกรรมกีฬาทั้ง 4 รายการต่อไป รองชุมกล่าว

รองผู้ว่าการ ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา กล่าวต่อว่า การประชุมครั้งแรกนั้นเราได้ร่วมกันพิจารณาการพัฒนาศักยภาพนักกีฬาและสมรรถภาพของนักกีฬาทีมชาติไทย เพื่อเดินไปสู่เป้าหมายที่ กกท. รวมทั้งสมาคมกีฬาต่างๆ ได้กำหนดไว้อีกด้วย โดยฝ่ายวิทยาศาสตร์การกีฬา ได้มีการกำหนดการทดสอบสมรรถภาพนักกีฬา รวมทั้งกำหนดแนวทางการประเมินผลศักยภาพของนักกีฬาทีมชาติไทย

“คณะทำงานได้แบ่งกลุ่มเป้าหมายในการประเมินออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเข้าร่วมการแข่งขัน, กลุ่มเข้ารอบดีที่สุด, กลุ่มลุ้นเหรียญรางวัล และกลุ่มความหวังเหรียญทอง โดยจะใช้แนวทางการพิจารณานักกีฬาแต่ละกลุ่ม ด้วยแนวทางใน 4 มิติ คือ ศักยภาพนักกีฬา, วิทยาศาสตร์การกีฬา, เวชศาสตร์การกีฬา และความรู้ด้านสารต้องห้ามทางการกีฬา ซึ่งแนวทางทั้ง 4 มิตินั้น จะสามารถดึงศักยภาrของนักกีฬาออกมาใช้อย่างเต็มที่ อย่างถูกที่ถูกเวลาด้วย”

สำหรับการประเมินความพร้อมของนักกีฬาทีมชาติ เพื่อเข้าแข่งขันมหกรรมกีฬานานาชาติรายการต่างๆ กำหนดไว้ดังนี้ ซีเกมส์ ประเมิน 1 ครั้ง, เอเชี่ยนเกมส์ ประเมิน 4 ครั้ง (สำหรับสมาคมกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันซีเกมส์ให้ใช้ผลการประเมินซีเกมส์ 2 ครั้ง ประกอบ), อาเซียนพาราเกมส์ 2 ครั้ง และเอเชี่ยนพาราเกมส์ 1 ครั้ง

ผลที่คาดว่าจะได้รับก็คือ กกท. จะได้เห็นภาพรวมของข้อมูลการเตรียมนักกีฬาสำหรับการแข่งขันทั้ง 4 มหกรรม รวมทั้งยังสามารถกำหนดแนวทางในการสนับสนุนนักกีฬาในแต่ระยะเวลาของการฝึกซ้อมและปรับปรุงการเตรียมนักกีฬา สำหรับการแข่งขันทั้ง 4 มหกรรม เพื่อให้การใช้งบประมาณเกิดความคุ้มค่าและสามารถนำเหรียญรางวัลมาสู่ประเทศได้ตามที่คาดการณ์ไว้

การประเมินผลศักยภาพของนักกีฬาทีมชาติไทย ของ กกท.ในครั้งนี้ จึงถือเป็นอีกมิติสำคัญที่จะพัฒนาและดึงศักยภาพนักกีฬาไทย ในการเข้าร่วมแข่งขันรายการนานาชาติ ซึ่งไม่เฉพาะแค่ 4 มหกรรมกีฬานี้เท่านั้น แต่เป้าหมายใหญ่ของ กกท. คือการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และโอลิมปิกเกมส์ 2028 ที่นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา

แน่นอนว่าความหวังของ ทัพไทยจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่การคว้า เหรียญทองในศึกโอลิมปิกเกมส์ ทั้งสองครั้ง กลับมาฝากพี่น้องคนไทย สร้างความสุขให้คนไทยทั้งประเทศให้ได้อีกครั้งนั่นเอง

## วอน อ่อนวงค์ ##