ลิเวอร์พูล อาจจะไม่ได้ 4 แชมป์ แต่พวกเขาก็ยังมีฤดูกาลที่เหลือเชื่อ ผลงาน และความสุข ที่ เจอร์เกน คลอปป์ และลูกทีม มอบให้แก่แฟนบอล คือประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง เพราะยากมาก ที่เราจะได้เห็นทีมใดทีมหนึ่งได้ลุ้นถึง 4 แชมป์รายการใหญ่ในฤดูกาลเดียว

ยิ่งถ้าหากได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในวันเสาร์นี้ คงเป็นการปิดฉากฤดูกาลที่ (เกือบ) สวยงามราวดั่งความฝันของ “เดอะ ค็อป” ทั่วโลก

ปัญหาเดียวคือคู่แข่งของพวกเขา

รีล มาดริด ของ คาร์โล อันเชลอตติ อาจจะไม่หวือหวา ไม่น่าจับตา เป็นบอลทรงเก่า หวังพึ่งแต่ความสามารถนักเตะ ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเหมือน ลิเวอร์พูล

แต่เห็นเงียบๆ พวกเขาก็ฟาดเรียบเหมือนกัน โดยเฉพาะแชมป์ลา ลีกา ที่ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง บาร์เซโลนา ถึง 13 คะแนน

นี่ย่อมแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของ “ราชันชุดขาว” เป็นอย่างดี แถมฤดูกาลนี้ พวกเขายังอาจมีอะไรบางอย่างที่เรียกว่า “โชค” เพราะ “โกงตาย” มาแทบทุกรอบ ไล่ตั้งแต่ 16 ทีม กับ เปแอสเช, 8 ทีมกับ เชลซี และตัดเชือกกับ แมนฯ ซิตี

สำคัญที่สุดคือ ประเด็นร้อนเรื่องการ “ถอนแค้น” ที่แฟนหงส์ตั้งตาจะเอาคืนให้สาสม หลังเคยผิดหวังในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยการพ่ายต่อ มาดริด 1-3 ที่เคียฟ เมื่อปี ค.ศ. 2018

อย่าลืมว่า นี่คือ 2 ทีม ที่ได้แชมป์รายการนี้รวมกัน 19 สมัย เรื่องประสบการณ์ ความเขี้ยวกรำจึงไม่ต้องสืบ นี่จึงเป็นเกมที่ทุกคนรอคอย และไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับคำว่า “เกมหยุดโลก” ที่ใครซึ่งเรียกตัวเองว่า “แฟนบอล” ห้ามพลาดจริงๆ

จาก 4 จะเหลือ 3 หรือจะได้แค่ 2 น่ารักน่าลุ้นเหลือเกิน?

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ
ลิเวอร์พูล – รีล มาดริด
วันที่ : เสาร์ที่ 28 พ.ค. 65
เวลา : 02.00 น.
สนาม : สต๊าด เดอ ฟรองซ์
ถ่ายทอดสด : beIN SPORTS 1, ทรูวิชั่นส์ 607, เอไอเอส เพลย์

ลิเวอร์พูล
“หงส์แดง” รองแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่แพ้ แมนฯ ซิตี แต้มเดียว ได้แชมป์ไปแล้ว 2 รายการในฤดูกาลนี้คือ คาราบาว คัพ กับเอฟเอ คัพ และกำลังลุ้นแชมป์ที่ 3 โดยสัปดาห์ก่อน ลงเล่นในลีกนัดสุดท้าย เปิดรังถล่ม วูล์ฟส์ 3-1 ขณะที่แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบตัดเชือก ชนะ บียาร์รีล ของสเปน ด้วยประตูรวม 5-2 ทำให้เข้ามาลุ้นแชมป์ถ้วยใบใหญ่ของยุโรปเป็นสมัยที่ 7

เกมนี้ เจอร์เกน คลอปป์ ต้องลุ้น ฟาบินโญ มิดฟิลด์ทีมชาติบราซิล ที่เจ็บไปนาน และไม่ได้ใช้งานเลยในช่วงหลัง เพื่อเก็บไว้สำหรับเกมนี้โดยเฉพาะ ขณะที่ โม ซาลาห์ และ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ไม่สมบูรณ์นัก น่าจะพร้อมกลับมาเป็นตัวจริง แต่อาจไม่มี ติอาโก ที่เจ็บเอ็นร้อยหวาย ต้องเขยกออกในเกมกับวูล์ฟส์ ส่วน ดิวอค โอริกี เจ็บกล้ามเนื้อ ลงไม่ได้แน่นอน

การจัดทัพใช้ อลิสซอน เบคเกอร์ เฝ้าเสา แดนหลังมี ฟาน ไดค์ กับ อิบราฮิมา โกนาเต ยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ แล้วใส่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เป็นแบ๊ก 2 ข้าง แดนกลาง ฟาบินโญ ประจำการกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ นาบี เกอิตา ส่วน 3 ประสานเกมรุกเป็น ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และ หลุยส์ ดิอาซ

รีล มาดริด
“ราชันชุดขาว” จบฤดูกาลลา ลีกา ด้วยการเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 35 เก็บได้ 86 คะแนน ทิ้งห่าง บาร์เซโลนา ถึง 13 คะแนน แต่เกมส่งท้าย เปิดซานติอาโก เบอร์นาบิว เสมอ รีล เบติส 0-0 ส่วนในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบตัดเชือก เฉือนชนะ แมนฯ ซิตี ในการต่อเวลาด้วยประตูรวม 6-5 ผ่านเข้ามาลุ้นแชมป์รายการนี้สมัยที่ 14 โดยครั้งล่าสุดที่พวกเขาได้ คือฤดูกาล 2017-18 ที่ชนะ ลิเวอร์พูล 3-1 ในรอบชิงชนะเลิศ ที่เคียฟ จาก คาริม เบนเซมา และ 2 ประตูของ แกเร็ธ เบล ซึ่งยังอยู่ในทีมชุดนี้ทั้งคู่

เกมนี้ คาร์โล อันเชลอตติ น่าจะได้ ดาวิด อลาบา กองหลังคนสำคัญ ที่เจ็บไปตั้งแต่เกมเลกแรกกับ แมนฯ ซิตี กลับมาลงสนาม ส่วนตัวอื่นก็พร้อม และเตรียมส่งชุดใหญ่ลุยแน่นอน โดยมี ติโบต์ กูร์กตัวส์ เฝ้าเสา แดนหลังจัด อลาบา กับ เอแดร์ มิลิเตา เป็นคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ โดยมี ดานี คาบาฆาล กับ แฟร์กลองด์ เมนดี เป็นแบ๊ก 2 ข้าง

แดนกลางต้องเช็ก คาเซมิโร เล็กน้อย แต่น่าจะลงประสานงานกับ ลูกา โมดริช และ โทนี โครส ได้ ส่วน 3 ประสานเกมรุกยังนำโดย คาริม เบนเซมา ที่ยิงไปแล้ว 15 ประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก ลงล่าตาข่ายร่วมกับ เฟรเด บัลเบร์เด และ วินิซิอุส จูเนียร์ เช่นเคย

ความน่าจะเป็นของเกม
เจอกันมา 8 เกม ถือว่าสูสี ชุดขาว ชนะ 4 ลิเวอร์พูล ชนะ 3 และเสมอกัน 1 ครั้ง แต่ มาดริด ไม่แพ้ หงส์ ใน 5 เกมหลังสุด รวมถึงเกมนัดชิงปี 2018 ที่ชนะ 3-1 โดยล่าสุดที่เจอกัน คือรอบ 8 ทีม ฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งชุดขาวชนะ 3-1 ในบ้าน และบุกไปเสมอที่แอนฟิลด์ 0-0 ทำให้ดูสถิติรวม มาดริด เหลื่อมนิดๆ

แต่เทียบแล้ว สูสีสุดกำลังแทบจะทุกอย่าง ทั้ง 2 ทีมต่างมีฤดูกาลที่มหัศจรรย์ นักเตะก็อยู่ในฟอร์มที่ดี กุนซือก็มีดีกันไปคนละแบบ ถ้าจะมีต่างกันคงเรื่องประสบการณ์ ที่มาดริดเหนือกว่า แต่เรื่องความสด และมุ่งมั่น ก็ต้องให้ ลิเวอร์พูล

เกมนี้จึงจะตัดสินกันที่ความเด็ดขาด ที่ใครมีมากกว่ากัน ซึ่งดูแล้ว มาดริด ไม่เป็นรอง เพราะมีทีเด็ดอย่าง เบนเซมา ที่คมจัด แม้อาจจะสร้างโอกาสได้น้อยกว่าก็ตาม ดังนั้น มองหน้าไหน โอกาสออกเสมอก็มีมากที่สุด ดีไม่ดี อาจต้องไปตัดสินกันที่การดวลจุดโทษ

ผลที่คาด
ลิเวอร์พูล เสมอ รีล มาดริด 1-1 (ในเวลา 90 นาที)