และสิ่งที่ต้องเผชิญในเร็ว ๆ นี้ คือ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มปักหมุดการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ช่วงประมาณวันที่ 19 ก.ค.แต่ต้องดูว่าจะอภิปรายฯกันกี่วันกี่คืนประเด็นฝ่ายค้านเพียงพอทำให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่

ดังนั้น “ทีมการเมืองเดลินิวส์” ถือโอกาสมาสนทนากับ “ส.ส.โจ้” ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หนึ่งในคีย์แมนสำคัญที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันรัฐบาล มากางโจทย์ร้อนๆ รอถล่มในศึกซักฟอก

โดย ส.ส.โจ้  เปิดฉากกล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยมีรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย 11 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม 3 + 3 + 5 ประกอบไปด้วย 1. กลุ่ม 3 ป. ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย  

2.กลุ่มแกนนำของพรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ 

3.กลุ่มรัฐมนตรีที่รายกระทรวง ได้แก่ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย และนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน 

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ถือว่าจะหนักหนาสาหัสที่สุดในทางการเมือง ส่วนข้อหาก็ฉกาจฉกรรจ์ โดยคนที่จะถูกอภิปรายหนักที่สุดก็คือ “พล.อ.ประยุทธ์” เพราะบริหารราชการแผ่นดินครบ 8 ปี ผิดพลาดล้มเหลวทุกด้าน สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติบ้านเมืองเยอะ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ แก้ปัญหาโควิด-19ล้มเหลว และปล่อยมีการทุจริตคอรัปชั่น รวมทั้งปิดกั้นสิทธิเสรีภาพประชาชน 

ประเด็นเรื่องเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ ทั้งหมด 3 ลำ แต่ซื้อแค่ลำแรกลำเดียว เพราะพรรคเพื่อไทยคัดค้านทวงติงไว้ แสดงให้เห็นว่ามีการทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่ เพราะจ่ายเงินไปแล้ว 7,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ขณะนี้ยังไม่เห็น “พล.อ.ประยุทธ์” ออกมาขอโทษประชาชน หรือแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รวมถึงยังมีการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ อีกมาก ทั้งอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ที่ไม่มีอาวุธ เครื่องบินรบ F35 จึงแสดงให้เห็นว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องเผชิญกับสินค้าราคาแพง นอกจากนี้ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ล้มเหลว ในการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ที่มีความล่าช้า 

@ ฝ่ายค้านมั่นใจหรือไม่ว่ามีข้อมูลเพียงพอที่สามารถล้มรัฐบาลหรือไม่ 

แน่นอนว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะต้องโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจหนักสุดหนักสุดแน่นอน แต่อีกเรื่องที่จะเป็นจุดแตกหักของรัฐบาลชุดนี้ และเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาก่อน คือ เรื่อง ท่อส่งน้ำสายหลักในอีอีซี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานอีอีซี จะปล่อยให้เกิดความเสียหายแบบนี้ได้อย่างไร อยู่ ๆ จะยกให้เอกชนโดยไม่มีการเปิดประมูลทั่วไป และเกิดข้อครหาด้วยความไม่โปร่งใส ตอนนี้ก็ยังไม่มีการลงนามในสัญญาทั้งที่นัดลงนามสัญญา ไปแล้วเมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าฝ่ายค้านท้วงติงก็มีน้ำหนักมีเหตุผล ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องติดตาม และเชื่อว่าถ้าพี่น้องประชาชนได้ฟังข้อเท็จจริงแล้วก็คงรับไม่ได้

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ที่มีการเชื่อม 2 สถานีเข้าไปยังเมืองทองธานี อ้างว่าเพื่อผลประโยชน์พี่น้องประชาชน ปรากฏว่าที่ดินว่างเปล่าของเจ้าสัวที่มีการปลูกต้นกล้วย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่ดินในเมืองทองธานีกลับมีราคาสูงขึ้น ถามว่าไปขนกล้วยมาขายมากกว่าขนคนหรือไม่ 

นี่ยังไม่รวมถึงประเด็นเรื่องสินค้าราคาแพงของนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ แล้วประเด็นทางการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งหลายเรื่องก็มีความล้มเหลวเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้ก็แค่เพียงหนังตัวอย่างบางส่วนที่ฉายให้เห็น

@ การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน จะเป็นเพียงราคาคุย ขู่รัฐบาลอย่างเดียวหรือไม่ หรือแค่สร้างราคาให้กับตัวเอง

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน เพราะพรรคร่วมฝ่ายค้านเรามีข้อมูลเด็ด ๆ หลายเรื่อง อย่าลืมว่าตอนนี้ภายในพรรคร่วมรัฐบาลก็มีความแตกแยกกันอยู่ พรรคพลังประชารัฐก็ไม่เหมือนเดิมมีการแตกออกมาตั้งพรรคเศรษฐกิจใหม่ เดี๋ยวนี้พี่น้องประชาชนก็หมดศรัทธากับ “พล.อ.ประยุทธ์”แล้ว ดูได้จากการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ มีความพยายามหาเสียงช่วยเหลือให้กับผู้สมัครบางคนแต่ว่าก็ไม่ได้ผลแถมยังได้คะแนนน้อยด้วย เมื่อดูส.ก.ของพรรคพลังประชารัฐ มีเพียงแค่ 2 ที่นั่ง จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า วิกฤติศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล เนื่องด้วยพล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ

@ อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะเช็กบิลรัฐมนตรี ทำให้ต้องถูกตรวจสอบจนถึงขั้นติดคุกหรือไม่ และมั่นใจหรือไม่ว่า ข้อมูลที่มีจะทำให้รัฐบาลต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้ ไม่ใช่เป็นแค่เกมผลประโยชน์ต่อรองกันในรัฐบาล

ข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจเที่ยวนี้หนักหนาสาหัสสากรรจ์ และต้องมีการยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในหลายเรื่องแน่นอน แล้วก็อย่าปรามาสฝ่ายค้านว่า เดี๋ยวเสียงข้างมากก็ลากไปและจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกทั้งอย่าคิดว่าฝ่ายค้านทำอะไรไม่ได้ เราหยุดเรื่องใหญ่ได้หลายเรื่อง เช่น การหยุดการจัดซื้อเรือดำน้ำ จึงไม่ใช่แค่ราคาคุย ดังนั้นส.ส.ที่จะยกมือโหวตไว้วางใจให้รัฐมนตรีต้องมีเหตุมีผล จากท่าทีของส.ส.ฝั่งรัฐบาล นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม 16 ก็บอกว่าเรื่องอื่นยังพอฟังได้ แต่เรื่องโครงการท่อส่งน้ำสายหลักอีอีซี คือ จุดแตกหักของรัฐบาลเราก็มั่นใจในข้อมูลของเราด้วย.