ผมมีส่วนร่วมคิดโปรเจคท์เกี่ยวกับการทำหนังสั้น ทุกคนในทีมกำลังหาเส้นเรื่องว่าจะเป็นแนวไหน มีเพื่อนร่วมงานพูดถึง Black Mirror ขึ้นมา…ผมไม่เคยดู แต่เคยเห็นว่ามีใน Netflix ด้วยความที่ไม่รู้ ผมเปิด Season 5 ไล่ลงมา 4 แทนที่จะเริ่มดูตั้งแต่ Season 1

ดูตอนแรกแล้วงง ๆ พอดูต่อตอนที่ 2 “อ้าวมันเป็นซีรีส์ที่ไม่เกี่ยวกันนี่นา!!” แต่ละตอนก็จะมีธีมของตัวเอง ไม่เชื่อมโยงกัน ตอนที่ 2 (ของผม) ที่คือ Smithereens ดูแล้วชอบเลย เริ่มเข้าใจการดูซีรีส์เรื่องนี้ ทำให้สรุปได้ว่า

Black Mirror = New Technology + Present & Future Social Problems

ผมไล่ดูวันละตอนสองตอน ยิ่งดูยิ่งชอบครับ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า “นี่ฉันไปอยู่ไหนมา ซีรีส์ที่เจ๋งขนาดนี้ ฉันไม่รู้จักได้ยังไง!!!”  ถ้าใครชอบหนังเรื่อง Minority Report คุณต้องชอบซีรีส์เรื่องนี้แน่ ๆ ครับ
– สั้น กระชับ จบแค่ชั่วโมงเดียว
– ปูเรื่องให้ตัวละคร 5 นาทีแรก เข้าใจแล้วว่าเป็นใคร ทำอะไร ค่อย ๆ สร้างปมขึ้นมาด้วย
– ขยี้แต่ละประเด็นสังคมได้ดี มีเรื่องหลักและรองซ้อนกันบ้าง แต่สอดรับกันไม่งงและเจ๋ง…แบบว่าคิดได้ยังไง
– ผู้จัดคงให้ประเด็นไป แล้วแต่ละผู้กำกับทำเรื่องใครเรื่องมัน ผมชอบมากเลยแนวนี้ คิดและปล่อยของได้เต็มที่ บางตอนหลุดโลกแต่ก็ยังสนุก (เช่น USS Callister)
– ผมชอบที่มีทิ้งอะไรไว้ตอนต้น บอกไม่หมด เหมือนโรยขนมปังล่อไว้ให้เราเดินตามทาง แล้วพาเข้าเรื่อง มีขมวดจบ บางเรื่องนี่หักมุม เดาทางยากดี
– ที่ชอบคือตอนจบของทุก ๆ ตอน ทิ้งค้าง ๆ ไว้แบบนั้นให้คนดูคิดต่อเอง (อยากทำหนังแบบนี้)
– เพลงตอนจบแต่ละตอนก็แสบ ทำให้รู้ว่าคนทำละเอียด คิดแม้กระทั่งเพลงตอนขึ้นเครดิต
– ดาราแทบไม่รู้จัก 80% แต่หน้าคุ้นๆ ก็เยอะ มันดู real ดีที่มีคนหลายชื้อชาติปนอยู่ด้วย ดูแล้วเชื่อและลุ้นตาม
– เป็นหนังที่แทรกความไฮเทคของเทคโนโลยีได้เนียนและว้าว ไม่ยัดเยียด โดยในหนังจะมีเทคโนโลยีดำเนินเรื่อง 1 อย่าง แต่ดูไปจะเจออะไรเจ๋ง ๆ ในนั้นทุกตอน ดีมากที่ค่อย ๆ ปล่อยมา

– เทคโนโลยีกระทบกับทุกอาชีพ ที่เพิ่งดูจบไปชื่อ Crocodile มีเครื่อง recaller ที่บริษัทประกัน ขอดูภาพจากความทรงจำของพยานในเหตุการณ์ แต่ดันไปเจอคดีฆาตกรรมแทน…ผูกเรื่องแบบนี้ได้ไง สนุกมากเลยครับ
– หรือตอนก่อนหน้านั้น Arkangel เทคโนโลยี child tracker ที่ปัจจุบันเป็นนาฬิกาบ้าง จี้ห้อยคอบ้าง ในเรื่องนี้ฝังเข้าไปในร่างกายของเด็กเลย มี filter กรองสิ่งไม่ดีให้อีกต่างหาก แต่ยิ่งปิดมาก ยิ่งไปออกอีกทาง และข้ามไปถึงเรื่อง privacy ของเด็กด้วย

– อย่างไรก็ตาม มีคนไม่ชอบเรื่องนี้ก็เยอะครับ โดยบอกว่าหนังมันดาร์กไป บางเรื่องโหดไป เช่น Metalhed แต่ผมกลับชอบตอนนี้มาก เพียงแค่ 40 นาทีเท่านั้น แต่สนุกทุกวินาที เป็นหนังที่มีบทพูดน้อยมาก เพราะตัวแสดงหลักคือ ผู้หญิงและ “หมาเฝ้าโรงงานไฮเทค” ที่จะตามล่า (และฆ่า) คนที่มาขโมยของ นี่ขนาดทำเป็นสีขาวดำทั้งเรื่องเพื่อลดความโหดของภาพ…ก็ยังโหดอยู่ดี แต่ลุ้นสนุกไม่แพ้หนังโรงเลยครับ

– บางตอนก็เอาใจทุกเพศทุกวัยทุกกลุ่ม เช่น กลุ่มคนโสดอยากหาคู่ Hang the DJ ที่มีอุปกรณ์จับคู่ โดยเลือกคนที่โปรแกรมคิดว่าเหมาะสมกับคุณที่สุดให้มาเดทกัน มันสนุกตรงที่มีระยะเวลาบอกด้วยว่า คู่ที่คุณเลือกเดทนั้นจะอยู่ด้วยกันตั้งแต่หลักชั่วโมงไปจนเป็นปี ถ้าเข้ากันได้ก็เหมือนถูกลอตเตอรี่ แต่ถ้าไม่ใช่ เหมือนตกอยู่ในขุมนรกชัด ๆ

– ตอนสุดท้ายที่ผมดูก่อนจะมาเขียนแนะนำคือ Black Museum เป็นเรื่องย่อยซ้อนในเรื่องใหญ่ (เข้าใจดำเนินเรื่องดีครับ) แต่สุดท้ายก็ขมวดจบแบบตรงข้ามกับที่เราคิดไว้เลย เพราะบางทีชื่อตอนก็ทำให้เราเขว ขนาดผมที่เดาเรื่องไม่ค่อยพลาด ดูซีรีส์เรื่องนี้ต้องปล่อยไปตามอารมณ์เลยครับ จะสนุกที่สุด

ถือเป็นครั้งแรกที่ผมดูซีรี่ย์ยังไม่จบทุกตอน แต่ขอมาแนะนำเลย เพราะเชื่อว่าตอนอื่น ๆ คงไม่ทำให้ผิดหวังครับ ใครกำลังลังเล เอาเป็นว่าหนังล้ำมากครับ ทั้งเทคโนโลยีและปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น ใครมีเวลาน้อยแบบผม คลิกดูไปเลย แต่หลังจากดูจบ มันจะมีระยะเวลาให้คิดต่อไปอีกนานเลยครับ

………………………………………..
คอลัมน์ :
ก้อนเมฆเล่าเรื่อง
โดย
“น้าเมฆ”
https://facebook.com/cloudbookfanpage