ซึ่งในส่วนของ “พรรคก้าวไกล” จั่วหัวแคมเปญ “ก้าวไกล Next” ออกมาสู่สายตาสาธารณชน “ทีมการเมืองเดลินิวส์” จึงต้องมาสนทนากับ “ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล ว่า แคมเปญดังกล่าวมีรายละเอียดอย่างไร และจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้พรรคก้าวไกลและสนามการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างไรบ้าง

โดย “นายชัยธวัช” เปิดฉากกล่าวว่า ก้าวไกล Next เป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล มี 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.การเตรียมพร้อมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค 2.การเตรียมนโยบายที่เราจะนำเสนอทั้งในระดับชาติและในระดับพื้นที่ 3.การปฏิรูปพรรค เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง โดยเป็น 3 เรื่องที่จะทำไปพร้อมกัน ซึ่งก้าวไกล Next เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปพรรค เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่ยึดโยงกับสมาชิกพรรคและประชาชนมากขึ้น เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง

“เราอยากรับฟังเสียงของประชาชนทั้งประชาชนที่สนับสนุนเรา สมาชิกพรรค และประชาชนที่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อพรรคตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่จนมาถึงก้าวไกล ผมคิดว่าการเริ่มต้นเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งที่ไปถามประชาชนว่าอยากเห็นพรรคปรับตัวอย่างไร พรรคมีทิศทางและควรทำงานอย่างไร น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”

 ดังนั้นตลอด 1 เดือนนี้ กิจกรรมของพรรคในแต่ละจังหวัดก็จะเน้นเรื่องนี้ เน้นการเปิดเวทีพูดคุยฟังเสียงประชาชน จากนั้นจะจบด้วยการจัดเวทีใหญ่ หรือ Town hall ก้าวไกล Next ในวันที่ 28 ส.ค.นี้ ที่สำนักงานพรรคก้าวไกล อาคารอนาคตใหม่ เมื่อเราประมวลความคิดเห็นเสียงของประชาชนที่มีต่อพรรคแล้วในเดือน ก.ย. จะเริ่มคิกออฟแคมเปญการเลือกตั้งครั้งใหญ่ โดยนำสิ่งที่เราได้จากการจัดเวทีต่าง ๆ รวมทั้งความเห็นทางออนไลน์ที่เปิดให้แสดงความเห็นนำมาใช้ในการปรับทิศทางของพรรคในการเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง

ในกรณีของสถาบันฯ หรือมาตรา 112 ที่พรรคถูกโจมตีมาตลอดจะมีการปรับลดโทนลงมาหรือไม่

               ผมคิดว่าจุดยืนของพรรคยังคงเหมือนเดิม เรื่องนี้ไม่ใช่นโยบายหาเสียง ไม่ได้เป็นการทำเพื่อการหาเสีย เป็นเรื่องท่าทีของพรรคที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นจริง เช่น มีการบังคับใช้มาตรา 112 ในลักษณะที่คิดว่าไม่ถูกต้อง รัฐบาลในอดีตมีการออกกฎหมาย เพื่อปรับโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งทำให้สถาบันฯ เข้ามาใช้อำนาจในทางบริหาร เป็นต้น ซึ่งเห็นว่ามีอันตรายและเป็นผลกระทบต่อสถาบันฯ ในระยะยาว จึงแสดงความเห็นของเราออกไป และคงยืนอยู่จุดเดิมเพราะเชื่อว่าถ้าจะดำรงรักษาสถาบันฯ ให้อยู่คู่กับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ได้ต้องมีการปรับตัว สังคม สถาบันทางการเมืองต่างๆ ต้องปรับตัว ถ้าไม่มีใครปรับตัว ก็ยากที่จะดำรงอยู่ได้อย่างสอดคล้องกับยุคสมัย เชื่อว่าสังคมจะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ

วันที่ 9 เดือน 9 คาดว่าจะมีการเปิดยุทธศาสตร์ใดบ้าง เรื่องใดคือจุดขายของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า

วันที่ 9 เดือน 9 ก็คงจะเป็นการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ เราเรียกว่า รีเฟรชแบนด์ แต่ไม่ใช่ รีแบนด์ ของก้าวไกล เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งพร้อม ๆ กับเป็นจุดเริ่มต้นในการนำเสนอวิสัยทัศน์ ข้อเสนอ ในการที่จะเราจะนำพาประเทศไปข้างหน้าให้ได้ หลังจากการเลือกตั้งครั้งหน้า ผมคิดว่าสิ่งที่จะต้องแตกต่างมาก ๆ เมื่อเทียบกับปี 2562 คือ พรรคจะให้ความสำคัญกับผู้สมัคร ส.ส.เขต เป็นอย่างมาก ต้องบอกว่าไม่ว่าระบบการเลือกตั้งจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน พรรคจะให้ความสำคัญกับผู้สมัคร ส.ส.เขตมากขึ้น ในอนาคตแน่นอนว่าเป้าหมายสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า เราต้องการเป็นรัฐบาล เราชัดเจนว่า เราต้องการเป็นรัฐบาลให้ได้ และเราเชื่อว่าการที่ฝ่ายประชาธิปไตยจับมือกันไปพลิกขั้วรัฐบาล เป็นทางออกที่ดีที่สุดของประเทศในเวลานี้ เพราะประเทศไทยภายใต้ระบอบประยุทธ์ 8 ปี มันตกต่ำและบอบช้ำมากๆ ตกต่ำทุกด้าน ถ้ายังให้ขั้วอำนาจเดิมบริหารประเทศต่อไป ผมคิดว่าหลายเรื่องมันจะแก้ไขเยียวยายาก

“ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดของประเทศคือฝ่ายค้าน ฝ่ายประชาธิปไตยเข้าไปพลิกขั้วรัฐบาลและพลิกฟื้นประเทศไทยขึ้นมาให้ได้ การเดินหน้าไปสู่การเป็นรัฐบาล เราเป็นพรรคการเมืองที่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นส่วนใหญ่ มากกว่า ส.ส.เขตไม่ได้ เพราะว่า ส.ส. ส่วนใหญ่ในสภาเป็น ส.ส.เขต เราจึงต้องมี ส.ส.เขตมากกว่าบัญชีรายชื่อ ต้องบอกว่าจะประสบการณ์ของเราในยุคอนาคตใหม่ถึงก้าวไกล การมี ส.ส.เขต เรามีพื้นที่ๆ ชัดเจนแน่นอนในการทำงานกับพี่น้องประชาชน มันจะต่างกันคนละแบบกับการทำงานแบบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เราคิดว่า ส.ส.เขตจะสำคัญที่สุด”

เมื่อให้ความสำคัญกับ ส.ส.เขตเป็นอันดับที่หนึ่ง ภาพลักษณ์ การนำเสนอ แนวคิด นโยบายต่างๆ กับสังคม การสื่อสารก็ต้องเปลี่ยนไปจากปี 2562 นโยบายก็ต้องมีทั้งนโยบายระดับชาติและระดับพื้นที่เพื่อให้ประชาชนเชื่อมโยงตนเองกับผู้สมัคร ส.ส.เขต ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่มีภาพใหญ่อย่างเดียว ต้องมีนโยบายที่ตอบโจทย์คนทุกพื้นที่ได้ชัดเจน เพราะแต่ละจังหวัดไม่เหมือนกัน นโยบายอาจต้องย่อยและโฟกัสมากขึ้น เป็นยุทธศาสตร์ในการทำงานของพรรค ซึ่งเบื้องต้นได้รับรองว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต ที่คิดว่ามีความเหมาะสมให้ทดลองทำงานในพื้นที่แล้ว จำนวนเกือบ 300 เขตแล้ว ช่วงนี้ก็อยู่ในระหว่างการรับรองเพิ่ม และประเมินว่าที่ผู้สมัครที่เคยรับรองไปแล้วว่ายังเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งแนวโน้มเชื่อว่าจะได้ ส.ส.เขตเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด 

@มีกระบวนการอย่างไรในการคัดเลือกผู้สมัครที่จะไม่ให้ซ้ำรอยงูเห่า

               กระบวนการมี 2 ฝั่ง คือ 1.ฝั่งตัวผู้สมัครเอง ผมคิดว่ารอบนี้คนที่สมัครเข้ามาเขาเห็นแล้วว่าแนวทางการทำงานของพรรค จุดยืนหรือนโยบายทางการเมืองของพรรคเป็นอย่างไร ฝั่งผู้สมัครจำนวนมากก็จะถูกสกรีนโดยตัวเขาเองรอบหนึ่งแล้วว่าเขารับกับแนวทางวิถีแบบก้าวไกลได้หรือไม่ 2.ฝั่งกระบวนการของพรรคไม่มีอะไรการันตีว่าจิตใจของคนจะเปลี่ยนได้หรือไม่ แต่สิ่งที่รับรองได้ดีที่สุดคือกระบวนการ ซึ่งมีกรรมการหลายระดับในการพิจารณาร่วมกัน นอกจากนั้นยังมีเรื่องหนึ่งที่พรรคก้าวไกลอยากทำตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ แต่ยังไม่มีเวลาทำ คือ เราตั้งใจที่จะพัฒนานักการเมืองของเราเอง เป็นเหมือนอคาเดมีของนักการเมืองรุ่นใหม่ เป็นแหล่งบ่มเพาะนักการเมืองท้องถิ่นถึงระดับชาติ เป็นสิ่งที่เราต้องทำและจะเป็นสิ่งที่มั่นคงแน่นอนที่สุด เพราะบุคลากรที่เข้าสู่สนามการเมืองก็จะเป็นบุคลากรที่เราสร้างขึ้นมาเอง จะรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร ซึ่งต่างจากการเปิดรับสมัครทั่วไป อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่ยากจะไปถึงตรงนั้นได้ในระยะสั้น อาจจะระยะกลาง 4 ปีข้างหน้าคงจะเห็นผล และตอนนี้เราก็มีการทดลองทำเริ่มวางหลักสูตรแล้ว.