บัซซ์ฟีด ประกาศเมื่อช่วงปลายเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ว่าจะปิดแผนกข่าวของบริษัท ส่งผลให้ตำแหน่งงานหายไป 180 อัตรา ขณะที่บริษัท ไวซ์ ซึ่งเคยดึงดูดเงินทุนก้อนโตจากดิสนีย์, ฟ็อกซ์ และบริษัทอื่น ๆ กลับยกเลิกรายการ “ไวซ์ นิวส์ ทูไนต์” ส่งผลให้ต้องปลดพนักงาน 100 คน และมีรายงานว่า บริษัทใกล้จะประกาศล้มละลายแล้ว

แม้กลุ่มสื่อทั้งสองแห่งจะมีโปรไฟล์และเป้าหมายแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน คือ การพึ่งพาเงินที่ได้จากโฆษณาเป็นหลัก เพื่อใช้เป็นทุนในการดำเนินงาน แม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่ การโฆษณากลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่หลายบริษัทต้องทำเพื่อสร้างรายได้

อย่างไรก็ตาม บริษัทขนาดใหญ่กว่า เช่น กูเกิล และเฟซบุ๊ก สามารถใช้อิทธิพลซึ่งมีมากกว่า แย่งชิงผู้ชมและนักลงทุนไปจากบริษัทขนาดเล็กกว่าได้อย่างไม่ยากเย็น

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2010 ไวซ์ และบัซซ์ฟีด พร้อมด้วย “เดลี บีสต์” และ “ฮัฟฟิงตัน โพสต์” ต่างเป็นผู้สร้างมาตรฐานของสื่อยุคใหม่ที่เป็นแบบออนไลน์อย่างสมบูรณ์ และพร้อมต่อสู้กับผู้รายงานข่าวแบบดั้งเดิม ซึ่งโมเดลธุรกิจดังกล่าว ดึงดูดนักลงทุนได้อย่างรวดเร็ว

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2560 ไวซ์ มีเดีย มีมูลค่าในตลาด 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 192,000 ล้านบาท) ซึ่งมากกว่ามูลค่าของบริษัท นิวยอร์ก ไทม์ส ในขณะนั้น

ด้านนางไอลีน แกลลาเกอร์ ประธานฝ่ายสื่อสารมวลชนดิจิทัล จากโรงเรียนนิวเฮาส์เพื่อการสื่อสารสาธารณะ อธิบายเสริมว่า เนื่องด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในปีที่ผ่านมา และเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ผู้ร่วมทุนต่างควบคุมการลงทุนมากกว่าเดิม และดึงเงินลงทุนของพวกเขากลับ

ไวซ์ และบัซซ์ฟีด ต่างประสบปัญหาในการดึงดูดการลงทุนใหม่มาเป็นเวลาหลายปี และถูกบังคับให้หันไปใช้หนี้ เพื่อประคับประคองบริษัทให้ดำเนินงานต่อไป ซึ่งสองบริษัทไม่สามารถสร้างกำไรได้เลย เพิ่มความเป็นไปได้ว่า บริษัท ฟอร์เทรส อินเวสต์เมนต์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นเจ้าหนี้หลักของไวซ์ สามารถยึดกิจการได้ หากไวซ์ประกาศล้มละลาย

อนึ่ง ในช่วงที่เศรษฐกิจตึงตัว สื่อดั้งเดิมจำนวนมาก เช่น เอ็นพีอาร์, เดอะ วอชิงตัน โพสต์ และซีเอ็นเอ็น ต่างดำเนินการปลดพนักงานจำนวนมาก ซึ่งเว็บไซต์สื่ออิสระต่างตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวเช่นกัน และพวกเขาจะเป็นกลุ่มมีความเสี่ยงมากที่สุด

แม้สื่อบางรายจะเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ แต่นักวิเคราะห์มองว่า ยังคงเป็นการยากที่จะสร้างความน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นแบรนด์ ซึ่งผู้บริโภคข่าวเคยใช้บริการฟรี เนื่องจากลูกค้าจะยอมเสียเงินเพื่อสมัครเป็นสมาชิก ต่อเมื่อเนื้อหานั้นตรงกับความสนใจของตัวเองอย่างแท้จริง และการจ่ายเงิน “ต้องคุ้มค่า” แต่การผลิตเนื้อหาให้ถึงเกณฑ์เหล่านั้น มีราคาแพง เมื่อโลกดิจิทัลยังคงเต็มไปด้วย “เนื้อหาเป็นกลาง” ซึ่งไม่มีคุณค่ามากนัก และสิ่งเหล่านี้น่าจะหายไปในที่สุด.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES