ขณะเดียวกัน ยังได้รับความชอบธรรมในการเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค ซึ่งถูกจับตามองว่า ก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้หรือไม่ “ทีมการเมืองเดลินิวส์” จึงมาสนทนากับกูรูการเมือง อย่าง “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตรัฐมนตรี และอดีต ส.ส.พัทลุง หลายสมัย มาวิเคราะห์ถึงมุมมองอย่างก้าวการตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่นี้

โดย “นิพิฏฐ์” นักการเมืองผู้มากประสบการณ์ ได้เปิดประเด็นถึงการที่ พรรคก้าวไกลได้ ส.ส. เป็นที่ 1 และพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมได้รับชัยชนะ ว่า เป็นเพราะคนเบื่อการเมืองเก่า และตามหลักปรัชญาทางการเมืองบอกไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น ถ้าคนมีความหวัง จะรู้สึกว่าต้องหาทางต่อสู้ แต่ถ้าคนไม่มีความหวัง ก็ไม่อยากทำอะไร ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนเริ่มมีความหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงไปเลือก พรรคก้าวไกล จนได้รับชัยชนะ นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าพรรคนี้ใช้สื่อโซเชียลได้ดีมาก จนทำให้คนเห็นว่า เขาได้คะแนนนิยมมากเป็นที่ 1 คนอื่นๆ จะรู้สึกว่าพรรคนี้มันใช่ ต้องเลือก ขณะที่พรรคเก่าๆ ตามไม่ทันเรื่องสื่อโซเชียล

 @ การจับมือระหว่างพรรคก้าวไกลกับอีก 8 พรรค รวมมี 313 เสียง จะทำให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล้าสวนกระแสไม่โหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่

การจะเป็นนายกรัฐมนตรี เขาต้องได้เสียงสนับสนุนจาก 2 สภา รวมกัน 375 เสียงขึ้นไป ถ้าตอนนี้เขารวม ส.ส. ได้ 313 เสียง จึงต้องหาเสียงจาก ส.ว. อีก 63 เสียง ซึ่งไม่ง่ายเลย เพราะความสัมพันธ์ระหว่าง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล กับ ส.ว. ไม่ดีมาตลอด แม้ ส.ว. ไม่กล้าสวนกระแส แต่ก็งดออกเสียงได้ เพราะไม่ใช่เซย์เยสหรือเซย์โน ถ้าเกิดแบบนั้น เขาก็จะไม่ได้ถึง 375 เสียง

 @ นอกจากกรณี ส.ว. ยังมีอะไรมาเป็นตัวแปรอีกในการจัดตั้งรัฐบาล

ผมคิดแค่เรื่องคณิตศาสตร์ทางการเมือง ว่าเขาจะต้องหามาให้ได้เกิน 375 เสียง แต่การบอกให้พรรคอื่นที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาล มาช่วยโหวตให้เขาด้วย มันไม่มีเหตุผลในทางการเมือง เพราะในเมื่อเขาไม่ได้ร่วมรัฐบาลกับคุณ จะมาโหวตให้คุณทำไม ไม่มีพรรคฝ่ายค้านที่ไหนหรอกมาเชียร์ฝ่ายรัฐบาล อย่างมากก็อยู่เฉย หรือไม่ออกมาค้าน นี่คือหลักการบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตย แต่ว่าที่นายกฯ หรือแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีหน้าที่ต้องหาเสียงสนับสนุนให้เกิน 375 เสียง ถ้าหาไม่ได้ ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้

“มันเป็นส้มหล่น พรรคก้าวไกลคงไม่นึกมาก่อนว่าจะได้เสียงมากเป็นอันดับ 1 จนได้ตั้งรัฐบาล ก่อนหน้านี้ เขาแค่ต้องการเสียงเยอะๆ แต่การที่เขาต้องการเสียงเยอะๆ แล้วประกาศตัวเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่ไปว่าคนอื่นว่าเป็นพวกอนุรักษนิยมบ้าง เคยต่อว่า ส.ว. บ้าง ไปบูลลี่คนอื่น แต่ตอนนี้จะมาขอเสียงจากคนที่เขาเคยบูลลี่ คล้ายกับคบเด็กสร้างบ้าน”

@ คิดว่ายังมีโอกาสจะพลิกขั้วเป็นพรรคอื่นจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ กลายเป็นพรรคก้าวไกลถูกโดดเดี่ยว

มีโอกาสหมด ขึ้นอยู่ที่ผู้ประสานงานว่า สามารถประสานนโยบาย ประสานความเข้าใจ ประสานอะไรกันได้ไหม ทุกอย่างเป็นไปได้ เพราะพรรคเพื่อไทยเคยถูกโดดเดี่ยวมาแล้ว ทั้งที่ตอนนั้นเขาได้ ส.ส. มากเป็นอันดับ 1

@ เกมการเมืองในสภา หลังจากนี้จะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน

ผมไม่ค่อยหวังเกมการเมืองในสภา เพราะดีเอ็นเอของพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคภูมิใจไทย กลายเป็นดีเอ็นเอของความเป็นรัฐบาลแล้ว ไม่ใช่มือการเมืองที่จะไปทำเกมในสภา ตรวจสอบรัฐบาล ผมจึงหวังแรงกดดันจากข้างนอกมากกว่า โดยต้องเอาพรรคเหล่านี้มาใช้สื่อ ใช้เกมข้างนอกไปกดดันรัฐบาล ต้องมีกลุ่มกดดัน ติดตาม ทวงถามสิ่งต่างๆ ที่ก้าวไกลและพรรคร่วมรัฐบาลสัญญาได้แล้วหรือยัง ต้องทวงความหวังให้ประชาชน

ผมมองว่าถ้า พรรคก้าวไกล ได้เป็นรัฐบาล จะเหมือนเขากำลังไต่เส้นลวดที่พร้อมจะล้ม เขาอาจตกจากเส้นลวดไม่เกิน 1-2 ปี เพราะทำตามคำสัญญาไม่ได้ โดยเวลาที่ก้าวไกลรวมตัวกับพรรคต่างๆ ก็จะมีข้อต่อรองเรื่องนโยบายของแต่ละพรรคที่ต่างถือว่าคนเลือกเขามา เพราะชอบนโยบายเขา เช่น พรรคเพื่อไทย มีนโยบายแจกเงินดิจิทัล ไทยสร้างไทย จะให้บำนาญประชาชน เดือนละ 3,000 บาท แต่ก้าวไกลจะให้เงินผู้สูงอายุ เดือนละ 3,000 บาท แล้วจะทำอย่างไร

แม้แต่นโยบายของก้าวไกลหลายเรื่อง อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องทำประชามติก่อน การให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้ง ก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญก่อน แล้วยกเลิกการบริหารจัดการส่วนภูมิภาค ให้เหลือแค่การบริหารจัดการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น จะทำได้ทันหรือ การแก้ไขหรือยกเลิก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ส.ว. จะเห็นชอบด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ พรรคก้าวไกล เน้นขายประเด็นอารมณ์การเมือง เรื่องเศรษฐกิจเป็นของแถม ซึ่งคนก็หวังให้เขาทำให้ได้ แต่โดยรวมแล้ว ผมเชื่อว่าเขาจะทำตามที่สัญญาไม่ได้ แล้วประชาชนจะออกมาเรียกร้อง และถ้าเกิดปัญหาความวุ่นวาย ความไม่สงบด้วย ก็จะทำให้รัฐบาลใหม่จบลงไม่เกิน 1 ปี  

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งประเด็นร้อน คือ คดีของ “ทักษิณ ชินวัตร” เพราะถ้า “ทักษิณ” กลับมาแล้ว จะจัดการเขาอย่างไร จะขังที่ไหน จะขังเขาในบ้านคนเดียว แต่คนอื่นที่มีคดีเหมือนกันให้อยู่ในคุก อย่างนั้นหรือ มันจะเกิดคำถามเรื่องมาตรฐาน เรื่อง คดีทักษิณ จะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองค่อนข้างใหญ่แน่นอน

@ ในฐานะแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ดูแลพื้นที่ภาคใต้ ประเมินผลการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไร

ในภาคใต้มีความแตกต่างจากภาคอื่น โดยเป็นการแข่งกันเองของคนที่มีดีเอ็นเอใกล้เคียงกัน แต่ก็ถือเป็นสนามที่น่าสู้มากที่สุดสำหรับ พปชร. แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พปชร. ไม่สามารถสู้ได้ตามศักยภาพที่เป็นความจริงทางการเมือง ผลการเลือกตั้งของ พปชร. จึงออกมาอย่างที่เห็น ส่วน พรรคก้าวไกล และ พรรคภูมิใจไทย ไม่มีกระแสที่มากพอจะชนะทะลุได้ในภาคใต้ ยกเว้นในบางจังหวัด อาทิ จ.ภูเก็ต ที่ผู้สมัครของ พรรคก้าวไกล ได้รับเลือกทั้งหมด เพราะภูเก็ตเป็นเมืองธุรกิจ เป็นเมืองท่องเที่ยว ทำให้มีคนต่างจังหวัดไปอยู่เยอะ คนเหล่านี้รู้สึกว่า มาทำงานหรือทำธุรกิจ จึงไม่มีความผูกพันกับ ส.ส. ในพื้นที่โดยสายเลือดหรือวัฒนธรรมทางการเมือง ดังนั้น เวลามีการเลือกตั้ง เขาจะเลือกคนที่เขาอยากเลือก.