อิตาลีซึ่งประสบกับปัญหาหนี้สินอย่างหนัก เมื่อปี 2562 กลายเป็นประเทศเดียวในกลุ่ม จี7 ที่ลงนามในแผนบีอาร์ไอ ซึ่งบรรดานักวิจารณ์ต่างเปรียบเทียบว่า เป็น “ม้าโทรจัน” ที่มุ่งงสร้างอิทธิพลทางการเมือง โดยข้อตกลงดังกล่าว จะต่ออายุโดยอัตโนมัติในเดือน มี.ค. 2567 นอกเสียจากอิตาลีจะยกเลิกภายในสิ้นปีนี้ ทว่าการออกจากบีอาร์ไอนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย

เมโลนี มีความกระตือรือร้นที่จะแสดงความเป็นน้ำหนักใจเดียวของอิตาลี ต่อสหรัฐ, องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) และสหภาพยุโรป (อียู) นอกจากนี้ เธอยังเผชิญกับแรงกดดันจากภายในประเทศ เพื่อให้ได้รับเชิญไปเยือนทำเนียบขาวเป็นครั้งแรก กระนั้น บรรดาผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่า บีอาร์ไออาจเป็นอุปสรรคสำหรับเมโลนี

ผู้นำอิตาลีเคยกล่าวด้วยว่า การตกลงกับจีน เป็น “ความผิดพลาดร้ายแรง” อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโรม พยายามระมัดระวังในเรื่องการยั่วยุรัฐบาลปักกิ่ง เพราะอาจกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งของอิตาลี ซึ่งอ่อนแอจากการระบาดของโรคโควิด-19 และผลกระทบจากการคว่ำบาตรรัสเซีย เหตุเพราะสงครามในยูเครน

euronews

ทั้งนี้ เธอยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นสถานการณ์ที่ “ต้องจัดการด้วยความรอบคอบอย่างมาก” ซึ่งทางแหล่งข่าวของรัฐบาลโรม ระบุว่า จะมีการหารือกันเป็นการภายใน เกี่ยวกับวิธี “ตีตัวออกห่าง” จากจีน โดยไม่สร้างความตึงเครียดกับอีกฝ่ายมากจนเกินไป

“เมโลนีต้องเป็นหยินและหยางในเวลาเดียวกัน” นายจูเลียโน โนชี ผู้สันทัดกรณีด้านจีน จากโรงเรียนธุรกิจโพลีเทคนิคมิลาน กล่าว “มันมีสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ และชาติตะวันตกที่ต้องพิจารณา แต่เธอไม่สามารถออกจากบีอาร์ไอ เพื่อเอาใจชาวอเมริกัน และลงโทษธุรกิจของอิตาลีได้ เพราะนั่นจะทำให้เธอไม่มีวันได้รับการอภัย”

กระนั้น นายฟีลิป เลอ คอร์เร นักวิชาการอาวุโส จากสถาบันนโยบายสังคมเอเชีย ระบุว่า การกระทำของจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการจัดการโรคโควิด-19 ส่งผลให้จีน “มีภาพลักษณ์ค่อนข้างแย่” ในสายตาของชาวอิตาลี

แม้บันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) แบบไม่มีผลผูกมัดระหว่างอิตาลีกับจีน มีข้อตกลงแบบกว้าง สำหรับความร่วมมือในภาคส่วนโลจิสติกส์, โครงสร้างพื้นฐาน, การเงิน และสิ่งแวดล้อม แต่รายละเอียดกลับมีเพียงเล็กน้อย และขาดความโปร่งใส ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในกลุ่มพันธมิตรของอิตาลี

“เอ็มโอยูดังกล่าวถูกมองว่า เป็นความสำเร็จสูงสุดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน และ ‘เรื่องราวความสำเร็จ’ นี้ ถูกนำมาใช้แล้วใช้อีกในสื่อของจีน ทว่าปัญหาคือ จีนไม่ได้ทำตามเช่นนั้น” เลอ คอร์เร กล่าว.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP