แม้การแข่งขันเทนนิสจะเต็มไปด้วยเรื่องราวเซอร์ไพรส์ และตำนานเล่าขานของเหล่าซินเดอร์เรลลา แต่ใครจะไปคิดว่า ตั๋ว 2 ใบในรอบชิงชนะเลิศ ยูเอส โอเพ่น 2021 จะอยู่ในมือของ 2 สาวน้อยวัยทีน แถมยังเป็นมือไร้อันดับอย่าง เลย์ลาห์ เฟร์นานเดซ กับ เอ็มมา ราดูคานู

ราดูคานู ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผ่านเข้าสู่รอบชิงดำแบบไม่เสียเซต

ทว่า สาวน้อยจากสหราชอาณาจักร ยังไม่เคยพบกับมือระดับท็อป 10 เลย ตลอดการเดินทางมาชิงชัยที่ ฟลิชชิง เมโดว์ส ต่างกับ เฟร์นานเดซ ผ่านเสือสิงห์กระทิงแรดมาตลอดทั้ง 4 แมตช์

เฟร์นานเดซ เอาชนะได้ทั้ง นาโอมิ โอซากะ เต็ง 3 ของรายการ, อันเจลิก แคร์เบอร์ เจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 3 รายการ, เอลินา สวิโตลินา มือวางอันดับ 5 และล่าสุดมือ 2 อย่าง อรีนา ซาบาเลนกา ซึ่งคงไม่ผิดนักหากจะเรียกว่า การพลิกล็อกครั้งมโหฬาร

จากผลงานอันยอดเยี่ยมของทั้งคู่จึงทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ระหว่าง “เจ้าหญิงโพาคาฮอนทัส” อย่าง เฟร์นานเดซ กับ “มู่หลาน” อย่าง ราดูคานู (ตามที่ แทมมารีน ธนสุกาญจน์ ตำนานนักหวดสาวไทย ให้ฉายากับทั้คู่ระหว่างให้สัมภาษณ์กับ ฟ็อกซ์ สปอร์ตส์) นั้น ใครมีโอกาสเข้าวินมากกว่าในศึก “ทีนเอจ ดรีม ไฟนอล” หนนี้

มุมน้ำเงิน “เลย์ลาห์ เฟร์นานเดซ”

เฟร์นานเดซ คว่ำมือระดับท็อป 5 ของ WTA มาถึง 3 รายก่อนเดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมเหลือเกินจน คริส เอเวิร์ต ตำนานนักหวดสาวชาวอเมริกัน ถึงกับต้องออกปากว่า ไม่เคยพบเคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนใน อาร์เธอร์ แอช สเตเดี้ยม

แน่นอนว่า แมตช์ที่จัดว่าพลิกล็อกถล่มทลายที่สุดที่เกิดจากฝีมือของ เฟร์นานเดซ ก็คือการล้มเต็ง 2 อย่าง ซาบาเลนกา แบบสุดระทึก 7-6 (7-3), 4-6, 6-4 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

สาวน้อยจากแคนาดา ยอมรับว่า ผลงานของเธอตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดเยี่ยมจนสามารถเรียกได้ว่า “ปาฏิหาริย์” เลยทีเดียว

นักหวดสาววัย 19 ปี กล่าวว่า “ฉันคิดว่า ทำอะไรที่เหลือเชื่อมาก ๆ คำที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของฉันก็คือ “ปาฏิหาริย์” เพราะไม่ใช่แค่ผลงานของฉันที่ดีมาก ๆ แต่ยังเป็นเพราะฉันเล่นได้ดีมาก ๆ ด้วย ฉันแค่สนุกไปกับมัน”

นี่คือ “ทีนเอจ ไฟนอล” ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในรอบชิงชนะเลิศเทนนิสแกรนด์สแลมนับตั้งแต่ปี 1999 ที่เราได้เห็น เซเรนา วิลเลียมส์ วัย 17 ปี เอาชนะ มาร์ตินา ฮินกิส วัย 18 ปี ในรอบชิงดำ ยูเอส โอเพ่น และเป็นครั้งที่ 8 ในประวัติศาสตร์

จากสิ่งที่ เฟร์นานเดซ แสดงให้เห็นมาตลอดทัวร์นามเนต์นี้ คงไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่า นักหวดสาวจากแคนาดา คู่ควรกับการสร้างตำนานซินเดอร์เรลลา และก้าวไปหยิบแชมป์ ยูเอส โอเพ่น ปีนี้มาครองทุกประการ

จุดแข็งของ เฟร์นานเดซ คือหัวจิตหัวใจ ความนิ่งเกินวัย การตัดสินใจ และทีเด็ดทีขาดในการเล่นแต้มสำคัญ แม้กระทั่งในยามตกเป็นรอง ซาบาเลนกา 1-4 ในเซตแรก และ0-2 ในช่วงไทเบรก เธอก็ยังไม่เสียอาการเลยสักนิด

เฟร์นานเดซ เชื่อว่า การล้มทั้ง โอซากะ ที่คว้าไปแล้ว 4 สแลม, สวิโตลินา ที่คว้าแชมป์ไปแล้ว 16 รายการ และทำเงินไปแล้ว 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, ซาบาเลนกา ที่คว้าชัยมากที่สุดใน WTA ฤดูกาลนี้ หลังชนะไปแล้ว 43 แมตช์ คือบทพิสูจน์ที่แสดงให้ทุกคนที่เคยตั้งคำถามกับเธอได้เห็นแล้วว่า เธอคิดไม่ผิดที่เลือก “เทนนิส”

“หลายคนตั้งคำถามกับตัวฉัน ครอบครัวของฉัน และความฝันของฉัน พวกเขาเอาแค่พูดว่า ไม่มีทาง ไม่มีทางที่ฉันจะเป็นนักเทนนิสอาชีพได้ พวกเขาพูดว่าฉันควรหยุด และกลับไปเรียนซะ ฉันจำได้ว่า มีครูคนหนึ่ง เธอบอกให้ฉันเลิกเล่นเทนนิส ฉันไม่มีทางทำได้ และแค่สนใจเรื่องเรียนก็พอ”

“แต่คุณรู้ไหม ฉันดีใจที่เธอพูดกับฉันอย่างนั้นเพราะประโยคนั้นมันวนเวียนอยู่ในหัวฉันทุกวัน และผลักดันให้ฉันสู้ต่อไปเพื่อทำให้สำเร็จ ฉันจะพิสูจน์ให้เธอเห็นว่า ฉันจะทำให้ได้ตามที่ฝันเอาไว้ทุกอย่าง” เฟร์นานเดซ เปิดใจ

มุมแดง “เอ็มมา ราดูคานู”

ถ้า เฟร์นานเดซ ได้รับการยกย่องจากการผ่านคู่แข่งระดับบิ๊กเนมมามากกว่า เราก็ต้องยกย่อง ราดูคานู ว่า เธอผ่านมาถึงรอบชิงชนะเลิศด้วยการเล่นเทนนิสที่ทรงประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

ราดูคานู เสียไปแค่ 43 เกมตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา (รวมรอบคัดเลือก) โดยมีคู่แข่งเพียงรายเดียวที่เก็บได้ถึง 5 เกมในหนึ่งเซตในการดวลกับแม่สาวยิ้มหวานจากเมืองผู้ดี นั่นคือ มาเรียม โบลค์วาดเซ จากจอร์เจีย ในการแข่งขันรอบคัดเลือกรอบ 2

ราดูคานู เสียเกมเฉลี่ย 4.8 เกมต่อแมตช์ในรอบคัดเลือก ซึ่งเป็นตัวเลขที่เหลือเชื่อมาก ๆ และลดลงมาเหลือแค่ 4.5 เกมต่อแมตช์เท่านั้นในรอบเมนดรอว์

ลำพังแค่เห็นสกอร์ที่ปรากฏออกมาในแต่ละแมตช์ก็เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก ๆ อยู่แล้ว แต่ยิ่งได้รู้ว่า นี่คือผลงานของนักเทนนิสวัยทีนผู้อ่อนประสบการณ์อย่าง ราดูคานู มันยิ่งเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่

ศึกยูเอส โอเพ่นครั้งนี้คือทัวร์นาเมนต์ที่ 26 ในอาชีพของ ราดูคาดู และเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ 7 นับตั้งแต่เธอเว้นวรรคจากการเล่นเทนนิสไปนาน 16 เดือนระหว่างเดือนก.พ.ปี 2020 ถึง มิ.ย.ปี 2021 ที่สำคัญมันยังเป็นแค่การลงแข่งขันระดับทัวร์รายการที่ 4 ของ นักหวดสาววัย 18 เท่านั้น

13 สัปดาห์ก่อน ราดูคานู คือนักเทนนิสหญิงมือวางอันดับ 336 ของโลก และไม่เคยดวลกับนักหวดมือระดับท็อป 40 มาก่อนเลยจนกระทั่งลงดวลแร็กเกตกับ เบลินดา เบนซิช จากสวิตเซอร์แลนด์ ในรอบก่อนรองชนะเลิศ

ใครจะเชื่อว่า อีกเพียง 2 รอบให้หลัง ราดูคานู จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมาด้วยการเป็นนักเทนนิสจากรอบคัดเลือกคนแรกที่ตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในแกรนด์สแลมได้สำเร็จในยุคโอเพ่น อีรา

จุดแข็งของ ราดูคานู คือสายตาที่อ่านคอร์ตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง การวางแผนการเล่นที่ชาญฉลาด และการบริหารสกอร์บอร์ดได้อย่างยอดเยี่ยม

ราดูคานู สามารถทำให้คู่แข่งเสียศูนย์ได้ด้วยรูปแบบการโจมตีที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีวิญญาณเพชฌฆาต และมักจะไม่พลาดเมื่อมีโอกาสเก็บแต้มสำคัญ ๆ หลักฐานก็คือการเซฟเบรกพอยต์ได้ถึง 19 จาก 21 ครั้งในการพบกับ เชลบี โรเจอร์ส, เบนซิช และมาเรีย ซัคการี ในการลงสนาม 3 แมตช์หลังสุด

จากการเล่นอันทรงประสิทธิภาพของ ราดูคานู ทำให้เธอใช้เวลาอยู่บนคอร์ตน้อยกว่า เฟร์นานเดซ ถึงหนึ่งชั่วโมง แม้จะลงแข่งมากกว่าถึง 3 แมตช์เพราะมาจากรอบคัดเลือกก็ตาม

ขณะที่ในการโคจรมาพบกันเพียงครั้งเดียวของทั้งคู่ในศึกจูเนียร์ วิมเบิลดัน ปี 2018 รอบ 2 ราดูคานู ก็ยังเป็นฝ่ายเอาชนะ เฟร์นานเดซ ไปได้อย่างขาดลอย 2 เซตรวด 6-2, 6-4 อีกด้วย

ทว่าสิ่งที่เกจิจากหลายสำนักมองว่า ทำให้ ราดูคานู ดูจะได้เปรียบ เฟร์นานเดซ อยู่นิด ๆ ก็คือการลงเล่นโดยแทบจะปราศจากความกดดัน และความคาดหวังใด ๆ ในฐานะที่เป็นนักเทนนิสที่มาจากรอบคัดเลือกนั่นเอง

“มีความคาดหวังอะไรด้วยเหรอ? ฉันหมายความว่า โดยทางเทคนิคแล้ว ฉันเป็นนักเทนนิสที่มาจากรอบคัดเลือก ดังนั้นฉันจึงไม่มีความกดดันอะไรทั้งนั้น” ราดูคานู กล่าวหลังคว่ำ ซัคการี ในรอบตัดเชือก.

แท ยอน