ประเด็นแรก คือ “ภาษี” สิ่งที่ไม่ค่อยได้รับการชื่นชมในประวัติศาสตร์การคลังของอินโดนีเซีย ซึ่งการปฏิรูปภาษี เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลจาการ์ตาเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระทรวงการคลังของอินโดนีเซีย พยายามอย่างมากในการเก็บภาษี และภาษีการบริโภคของประเทศก็เพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 11% ในปี 2565


ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นค่อนข้างชัดเจน โดยภาษีอากรของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นจาก 99,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.6 ล้านล้านบาท) เมื่อปี 2562 เป็นประมาณ 136,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่ผู้วางแผนงบประมาณคาดการณ์ไว้ในตอนแรกถึง 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 218,000 ล้านบาท) อีกทั้งรายได้พิเศษนี้ยังช่วยจำกัดการขาดดุลงบประมาณ จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.84% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เหลือเพียง 2.3%


อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แหล่งรายได้ที่น่าเชื่อถือตลอดไป ด้วยเหตุนี้ กระทรวงการคลังอินโดนีเซียจึงขยายฐานภาษีในประเทศ และปรับปรุงการเก็บภาษี เพื่อรับประกันว่า อินโดนีเซียจะมีแหล่งรายได้ระยะยาวที่ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งการเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมายังมีนัยสำคัญ และทำให้รัฐบาลจาการ์ตามีพื้นที่นโยบายการคลังมากขึ้นเช่นกัน


ประเด็นข้างต้นนำไปสู่ประเด็นสำคัญประการที่สอง ซึ่งเกี่ยวกับตัวบ่งชี้และสมมติฐานทางเศรษฐกิจมหภาค โดยนักวางแผนงบประมาณหลายคนเชื่อว่า เศรษฐกิจของอินโดนีเซีย จะเติบโตราว 5% ในปี 2567 ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตในปีนี้ ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 3% หรือต่ำกว่า และค่าเงินจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 รูเปียห์ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ


เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่มั่นคง และรายได้ที่เพิ่มขึ้น การใช้จ่ายภาครัฐทั้งหมดจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบ 6% เมื่อเทียบกับปี 2566 เป็นประมาณ 212,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.7 ล้านล้านบาท) ตามอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน ซึ่งภายใต้สถานการณ์นี้ การขาดดุลทั้งหมดของอินโดนีเซียจะอยู่ที่ 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็น 2.3% ของจีดีพี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่า จีดีพีจะเติบโต 5%


สิ่งนี้นำไปสู่ประเด็นสำคัญประการสุดท้าย นั่นคือ การใช้จ่าย โดยผู้สันทัดกรณีมองว่า อินโดนีเซียสามารถดำเนินการตามแผนการใช้จ่ายขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงเงินสำหรับการพัฒนาเมืองหลวงแห่งใหม่ การจัดซื้อกิจการทางทหารขนาดใหญ่ และโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ.


อนึ่ง มันมีความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ก้อนใหม่ที่รัฐบาลเผชิญในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงโครงการใหญ่และรัฐวิสาหกิจหลายแห่งในประเทศ ที่อาจสร้างความเสี่ยงเชิงระบบ อีกทั้งวิกฤติการณ์ทางการเงินและดุลการชำระเงิน มักจะเกี่ยวข้องกับวิกฤติเงินสดในระยะสั้น ส่งผลให้รัฐบาลต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ต่างประเทศ และไม่มีสินทรัพย์สภาพคล่องเพียงพอในการปฏิบัติตามภาระผูกพันเมื่อถึงกำหนดชำระ หรือไม่มีทุนสำรองระหว่างประเทศมากพอที่จะสร้างแหล่งสกุลเงิน ในกรณีที่มีการไหลออกของเงินทุน


หากพิจารณาจากสภาพการคลังโดยรวมของอินโดนีเซีย ความเสี่ยงของสิ่งเหล่านั้นอยู่ในระดับต่ำมาก เนื่องจากการขาดดุลลดลง แม้การใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นก็ตาม, รายได้ที่เพิ่มขึ้น, เศรษฐกิจที่เติบโต, อัตราเงินเฟ้อในระดับปานกลาง ตลอดจนทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมากในธนาคารกลางอินโดนีเซีย (บีไอ) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มการคลังที่ดีพอสมควร


ทั้งนี้ งบประมาณปี 2567 ของอินโดนีเซีย แสดงให้เห็นว่า สถานการณ์คลังและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ ยังมีเสถียรภาพ มีรายได้จากฐานภาษีในประเทศเพิ่มขึ้น และไม่ต้องแบกรับภาระหนี้ หรือการใช้จ่ายที่ไม่ยั่งยืนอีกต่อไป นั่นหมายความว่า อินโดนีเซียสามารถใช้จ่ายได้มากขึ้น และทำเช่นนั้นได้โดยไม่ต้องเพิ่มหนี้ก้อนใหม่ ส่วนคำถามซับซ้อนที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ คือ รัฐบาลจาการ์ตาสามารถใช้จ่ายได้อย่างชาญฉลาดหรือไม่.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP