เหลืออีกเพียง 2 สัปดาห์ ก็จะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ “ปีมังกร” ที่หากมองในเวลานี้ยังไม่ได้วี่แววสดใสที่ทำให้หลายคนหลายฝ่ายสบายอกสบายใจกันเท่าใดนัก
แม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง อย่าง “นายเศรษฐา ทวีสิน” ยังออกมายอมรับต่อหน้าสื่อทุกแขนงว่า “หนักใจ” โดยเฉพาะในเรื่องของ “ค่าแรง” ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน… ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น!!
จึงไม่ต้องแปลกใจที่ครม.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงยังไม่ยอมรับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่ปรับเพิ่มขึ้น 2-16 บาท จนทำให้ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงาน ต้องถอนเรื่องออกไปจากที่ประชุม
ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เพียงแค่ “ค่าแรง” เท่านั้น ที่เป็นแรงกดดันต่อภาวะเศรษฐกิจ ยังมีปัญหาใหญ่อย่างเรื่องหนี้ครัวเรือน ปัญหาจากเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้ง ปัญหาสงคราม ที่ยังไม่ได้หมดไปแบบ 100%
ด้วยเหตุนี้หลายสำนักวิจัย ต่างคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวได้ไม่เกิน 3.2% เท่านั้น!!
แม้ว่าในเชิงตัวเลข…ในเชิงสถิติ !! แล้ว ยังเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากปีนี้ก็ตาม แต่การขยายตัวครั้งนี้ยังเป็นการขยายตัวที่ต่ำกว่าศักยภาพ
นั่นเป็นเพราะเศรษฐกิจไทยถูกแรงกดันจากหลายสาเหตุ หลายเหตุการณ์มานานหลายปี การลงทุนใหม่เกิดขึ้นน้อย ทั้งที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ทางออกที่ผ่านมาจึงมีแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อประคับประคองให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าได้เท่านั้น
เรื่องราวของเศรษฐกิจไม่ใช่ว่า แก้วันนี้แล้วจะเห็นผลทันทีในวันนี้ วันพรุ่งนี้ แต่ต้องอาศัยเวลา อาศัยมาตรการที่ถูกที่ถูกทาง ไม่ใช่แค่แก้วันนี้แล้วสร้างปัญหาในอนาคต
เพราะ…สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นพายเรือในอ่าง หาทางออกไม่เจออยู่ร่ำไป!!
แต่ทุกปัญหาต่างมีทางออกด้วยกันทั้งนั้น เพียงแค่ว่าการแก้ปัญหาจะเดินไปถูกทางหรือไม่ ก็เท่านั้น และใช่ว่าในปัญหาจะไม่มีโอกาส ขึ้นอยู่กับว่าใครมองเห็นโอกาสในปัญหานั้นหรือไม่?
อย่างในเรื่องของการค้าการขาย เพียงแค่มองเห็นโอกาส!! ก็อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยน ดูอย่างเรื่องของ “การค้าออนไลน์” ที่ยังมาแรงไม่มีตก ใครคว้าทันก็กลายเป็นโอกาส
ล่าสุด …กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ออกมาระบุถึงแนวโน้มธุรกิจที่มีแนวโน้มสดใสมีช่องทางที่ดีไว้ถึง 9 ธุรกิจ ที่ใครคว้าได้ก็ควรรีบคว้าไว้
ข้อมูลที่นำมาสนับสนุนในครั้งนี้ ก็ดูจากจำนวนและอัตราการเติบโตของการจัดตั้งธุรกิจ เรื่องของกำไรและรายได้ รวมไปถึงกระแสความนิยม พฤติกรรมของธุรกิจ นโยบายรัฐบาล หรือแม้แต่ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจ
อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าทุกรัฐบาลต่างหวังพึ่งรายได้จากการท่องเที่ยว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่โอกาสจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวยังคงเป็นดาวเด่นในปีหน้าแน่ ๆ รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดประชุม แสดงสินค้า คอนเสิร์ต เพราะรายได้ของธุรกิจเหล่านี้มีอัตราเติบโตสูงถึง 37% ทีเดียว
เช่นเดียวกับธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม ที่สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา เพราะเทรนด์ของการรักษาสุขภาพ การรักษาความงามยังแรงไม่มีตก
หรือแม้แต่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผู้สูงอายุ ที่โอกาสยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องเพราะสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบไปแล้วด้วยจำนวนผู้สูงวัยกว่าที่มีมากกว่า 12 ล้านคนไปแล้ว
ขณะที่ไทยก็มีชื่อเสียงในเรื่องของบริการไม่แพ้ใครในโลกอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้สูงอายุในต่างประเทศ จึงเห็นประเทศไทยเป็นบ้านที่สอง โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น
ไม่เพียงเท่านี้ ด้วยการเป็นสังคมเดี่ยว จำนวนคนโสดในไทยเวลานี้ก็ทวีคูณมากยิ่งขึ้น การนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นลูก การเป็นทาสหมา ทาสแมว เกิดขึ้นมากมาย จึงทำธุรกิจสัตว์เลี้ยงนี้ทำเงินได้มากกว่า 50,000 ล้านบาทไปแล้ว
ส่วนเรื่องของเทรนด์โลกที่เข้าสู่ กระแสรักษ์โลก จึงทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เข้ามามีบทบาทในสังคมไม่น้อย โดยมีอัตราเติบโตไม่น้อยกว่า 45%
สุดท้าย ในเมื่อโลกยังเดินหน้าเข้าสู่ดิจิทัลอย่างไม่หยุดยั้ง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบออนไลน์ การชำระเงินแบบดิจิทัล หรือแม้แต่เรื่องของซอฟท์แวร์ ก็ยังเข้ามามีบทบาทอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ในเมื่อธุรกิจเหล่านี้ยังมีแนวโน้มที่สดใสและยังคงเป็นดาวเด่น!! ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองเห็นโอกาสแล้วรีบคว้าไว้ หรือเพียงแค่เห็นแล้วปล่อยให้หลุดลอยไป!!
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”