ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับคืนจากลูกค้าเนื่องจากเสื่อมสภาพ มีตำหนิ หมดอายุ หรือหมดสมัยนิยม และได้ผ่านการตรวจสอบโดยเภสัชกรประจำบริษัทฯ ว่าไม่สามารถนำมาจำหน่ายได้อีก บริษัทฯ ได้ตั้งคณะกรรมการจากฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี ฝ่ายประกันคุณภาพและแผนกคลังสินค้า เพื่อรับรองปริมาณและมูลค่าของสินค้าที่เสื่อมสภาพ

เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีสถานที่และเครื่องมือทำลายสินค้าจึงได้ว่าจ้าง บริษัท ก. จำกัด ทำลายสินค้าด้วยวิธีบดทับแล้วฝังกลบ หลังจากนั้นบริษัทฯ ได้มีหนังสือ 2 ฉบับ รายงานการทำลายสินค้าเพิ่มเติมต่อสำนักงานสรรพากร โดยมีภาพถ่ายเป็นหลักฐานแต่
ไม่ได้แจ้งมูลค่าสินค้าที่ทำลายจริง และไม่ได้แจ้งว่าเศษซากสามารถนำไปใช้หรือจำหน่ายหรือไม่

การทำลายสินค้าดังกล่าว บริษัทฯ สามารถนำมาถือเป็นรายจ่าย ได้หรือไม่อย่างไร  

เช่นนี้ กรณีบริษัท บ. จำกัด ประกอบกิจการขายส่งเวชภัณฑ์ยา ได้รับคืนสินค้าเวชภัณฑ์ยาจากลูกค้า ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่สามารถจำหน่ายได้ บริษัทฯ จึงมีหนังสือแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานสรรพากรพื้นที่ เข้าร่วมเป็นพยานในการทำลายสินค้า กรณีในวันทำลายสินค้าไม่มีผู้สอบบัญชีหรือผู้แทนมาเป็นพยานรับรองการทำลายสินค้า เนื่องจากบริษัทฯ ได้เปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่ ณ วันที่ทำลายสินค้า และบริษัทฯ ไม่ได้แจ้งมูลค่าที่ทำลายจริงและไม่ได้แจ้งว่า เศษซากสามารถนำไปใช้หรือจำหน่ายนั้น เนื่องจากแนวทางปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 79/2541ฯ ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 เป็นเพียงแนวปฏิบัติในการตรวจสอบ และแนะนำการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการทำลายของเสียเท่านั้น ดังนั้น หากบริษัทฯ มีเอกสารและหลักฐานที่ชัดแจ้งสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการทำลายสินค้าดังกล่าวจริง บริษัทฯ จึงมีสิทธินำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) และ (14) แห่งประมวลรัษฎากร.