พบผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่โดยเฉลี่ยประมาณ 604,000 ราย และเสียชีวิตราว 342,000 ราย ซึ่งร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำถึงรายได้ปานกลาง สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งสตรีที่พบได้เป็นอันดับที่ 5 ของมะเร็งสตรีทั้งหมด โดยในปี พ.ศ.2560 พบผู้ป่วยรายใหม่ 5,422 ราย และมีสตรีที่เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกมากถึง 2,300 รายด้วยกัน

สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อเอชพีวี (Human papillomavirus หรือ HPV) เชื้อเอชพีวี เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่สามารถติดได้ทั้งที่ผิวหนัง อวัยวะเพศ ในช่องปากและลำคอ โดยปกติผู้ที่มีเพศสัมพันธ์สามารถติดเชื้อไวรัสนี้ได้แต่มักจะไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตามระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราสามารถที่จะกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้เอง มีเพียง 5-10% เท่านั้น ที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถกำจัดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ความเสี่ยงสูงออกไปได้ ทำให้การติดเชื้อคงอยู่นาน (persistent HPV) และเชื้อเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดความผิดปกติในเซลล์ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด ซึ่งการติดเชื้อเอชพีวีในลักษณะคงอยู่นาน หรือ Persistent HPV นี้ ถ้าไม่ได้รับการรักษา จะเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 95% โดยจะใช้เวลาประมาณ 15-20 ปี ในการเปลี่ยนแปลงหลังการติดเชื้อจนกลายไปเป็นเซลล์มะเร็ง การติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ความเสี่ยงสูงมักพบในคนที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุน้อยกว่า 18 ปี หรือในคนที่มีการเปลี่ยนคู่นอนหลายคน ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งปากมดลูก เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และการสูบบุหรี่ เป็นต้น

สำหรับการป้องกันมะเร็งปากมดลูกนั้น นับเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งที่เราสามารถทราบอย่างแน่ชัดว่า สาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูกคือ การติดเชื้อเอชพีวี ดังนั้นเราจึงสามารถหาวิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันเราแบ่งการป้องกันออกเป็น 2 ส่วน คือ การป้องกันแบบปฐมภูมิ (primary prevention) ได้แก่ การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี และการป้องกันแบบทุติยภูมิ (secondary prevention) ได้แก่ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ

การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หรือวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี สามารถฉีดได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 9 ปี โดยกรมควบคุมโรคแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีในเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายที่อายุ 11 ปี ส่วนผู้ที่อายุมากกว่านี้ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ก็สามารถเข้าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการฉีดวัคซีนได้จนถึงอายุ 45 ปี แต่เนื่องจากวัคซีนไม่สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ทั้งหมด ดังนั้นการเข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องจำเป็น

สำหรับการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกนั้น ปัจจุบันการคัดกรองที่ทำกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ได้แก่ การตรวจเซลล์ปากมดลูก (Cytology test) หรือที่เราเรียกว่า PAP smear และการตรวจหาเชื้อเอชพีวี (HPV DNA test) ในสตรีไทยทุกสิทธิ์การรักษาที่มีอายุระหว่าง 30-60 ปี โดยสามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองเพื่อตรวจหาเชื้อเอชพีวีได้ฟรีทุก 5 ปี หรือขอรับชุดตรวจหาเชื้อเอชพีวีด้วยตนเองที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับสตรีที่ไม่สะดวกมารับการตรวจที่โรงพยาบาล

สามารถติดตามความรู้ข่าวสารด้านโรคมะเร็งจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ส่งเสริมความรอบรู้สู้ภัยมะเร็ง http://allaboutcancer.nci.go.th/ เว็บไซต์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง https://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ และLine : NCI รู้สู้มะเร็ง

ข้อมูลจาก แพทย์หญิงปานวาด  รัตนศรีทอง แพทย์เฉพาะทางสาขามะเร็งวิทยานรีเวช สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

                                                                      นายแพทย์สุรพงศ์  อำพันวงษ์