ปัจจุบัน นางเจือง มี ลัน ประธานบริษัท วัน ติ๋ญ ฟ้าด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ กำลังเผชิญกับการพิจารณาคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ในข้อหายักยอกเงิน 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 443,000 ล้านบาท) หลังเธอถูกจับกุมในการปราบปรามการคอร์รัปชันระดับชาติ ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ และทำให้นักลงทุนต่างชาติจำนวนมากไม่สบายใจ

ตำรวจเวียดนามกล่าวว่า หงา และเหยื่ออีกราว 42,000 คน ที่พัวพันในคดีอื้อฉาวดังกล่าว เป็นผู้ถือหุ้นกู้ของธนาคารเอสซีบีทั้งหมด ซึ่งพวกเขาไม่สามารถถอนเงิน รวมทั้งไม่ได้รับดอกเบี้ยหรือเงินต้น นับตั้งแต่ลัน ถูกจับกุม เมื่อเดือน ต.ค. 2565

ด้านนางลินห์ เหวียน หัวหน้านักวิเคราะห์ของบริษัทที่ปรึกษา “เวียดนาม แอต คอนโทรล ริสก์ส” กล่าวว่า แม้ทางการเวียดนามดำเนินการจับกุมบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก ภายใต้การผลักดันต่อต้านการทุจริต แต่ขนาดของเรื่องอื้อฉาวครั้งนี้ สร้างความตกตะลึงทั่วประเทศ

“ตอนนี้มันทำให้เกิดคำถามว่า มีคดีอื่นซึ่งมีมูลค่าความเสียหายใกล้เคียงกันหรือไม่ เพราะถ้านักธุรกิจหญิงคนหนึ่ง กับบริษัทแห่งหนึ่ง และธนาคารแห่งหนึ่ง สามารถใช้ประโยชน์ของเงินทุนจำนวนมหาศาลจากเศรษฐกิจได้ ธนาคารกับบริษัทแห่งอื่น มีการดำเนินการในลักษณะที่คล้ายคลึงกันหรือไม่” เหวียน กล่าวเพิ่มเติม

ขณะที่ นายบุย เคียน ทัญ ผู้สันทัดกรณีด้านการธนาคาร กล่าวเตือนว่า เรื่องอื้อฉาวข้างต้นอาจเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” เท่านั้น พร้อมกับตั้งข้อสงเกตว่า ธนาคารอีกหลายแห่งอาจกำลังทำสิ่งเดียวดัน แม้อยู่ในระดับต่ำกว่าก็ตาม

นอกจากลัน ผู้ต้องหาอีก 85 คน จะถูกดำเนินคดีพร้อมกับเธอ ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้งอดีตนายธนาคารกลาง, อดีตผู้บริหารธนาคารเอสซีบี และอดีตเจ้าหน้าที่รัฐรวมอยู่ด้วย

เมื่อปี 2566 เศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตแค่ 5% และไม่ถึงเป้าหมาย 6.5% ของรัฐบาล แต่ราคาทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และความไม่แน่นอน กลับแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว โดยแซงหน้าอัตราทั่วโลกถึง 1 ใน 3

ลินห์ ระบุว่า แนวโน้มดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ชาวเวียดนามทั่วไปรู้สึกปลอดภัยกว่า เมื่อเก็บเงินหรือทองคำไว้กับตัวเอง และในขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติบางคนก็รู้สึกเกรงกลัว แม้พวกเขายกย่องเป้าหมายของการรณรงค์ การดำเนินการปราบปรามการทุจริต เพื่อปรับปรุงหลักนิติธรรมก็ตาม

“มันไม่ได้หมายความว่า นักลงทุนต่างชาติจำนวนมากกำลังหนีไป หรือหันเหความสนใจไปยังประเทศอื่น เพราะพวกเขาอาจยับยั้งชั่งใจเอาไว้ จนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย” ลินห์ กล่าวทิ้งท้าย.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP