แต่การรับโทษที่ว่านี้กลับอยู่ในฐานะ“ผู้ต้องขังนอกเรือนจำ” ทำให้เกิดข้อสงสัยและเสียงวิจารณ์ต่างๆนานา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามที่ว่า “กระบวนการยุติธรรม”ของไทยยังหลงเหลือความยุติธรรมอยู่หรือไม่คอลัมน์ตรวจการบ้านจึงมาสนทนากับนักกฎหมายและนักการเมืองผู้มากประสบการณ์ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตรัฐมนตรี และอดีตสส.พัทลุง หลายสมัย ถึงสิ่งที่เห็นและเป็นไปจากเหตุการณ์ดังกล่าว

โดย“นิพิฏฐ์” มองว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยในขณะนี้กำลังมีปัญหา มีการเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐานจริงๆ และเอื้อประโยชน์ให้คนบางคน เพราะคนธรรมดา คนยากจน ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ ทำแบบนายทักษิณไม่ได้อยู่แล้ว ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้พูดเกินไป เพราะสภาพร่างกายของนายทักษิณก่อนกลับมาเมืองไทย ยังมีภาพเตะกระสอบทรายได้ตอนอยู่ที่นครดูไบ และเขาเคยพูดว่า จะไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว ซึ่งสุดท้ายเขาก็ทำได้จริงๆ เพราะได้รับการเอื้อประโยชน์จากการวินิจฉัยแบบ 2 มาตรฐานโดยเจ้าหน้าที่รัฐและแพทย์ที่ทำให้นายทักษิณได้อยู่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ นายทักษิณอาจเกิดอาการป่วยหลังจากที่เข้าไปในเรือนจำได้ไม่กี่ชั่วโมง

ที่จริงผมไม่ได้ติดใจเรื่องที่นายทักษิณได้รับการพักโทษ เพราะเขามีลักษณะที่เข้าเกณฑ์ได้รับการพิจารณาพักโทษ ทั้งเรื่องอายุมาก และมีอาการเจ็บป่วย แต่ผมติดใจและออกมาคัดค้านเรื่องที่นายทักษิณไม่ได้มีอาการป่วยหนักจนถึงขั้นต้องถูกส่งไปรักษาตัวในรพ.ตำรวจ และรพ.ราชทัณฑ์ยังมีศักยภาพที่สามารถดูแลรักษานายทักษิณได้ ผมจึงต้องออกมาต่อสู้เรื่องนี้อย่างเต็มที่ว่าการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาที่รพ.ตำรวจ 180 วันโดยไม่ได้นอนในเรือนจำเลยแม้แต่วันเดียวนั้น เป็นการเลือกปฏิบัติ สร้างความไม่เท่าเทียม และเป็นการทำลายหลักนิติรัฐด้วย

การปล่อยให้นายทักษิณไม่ยอมรับกติกาใดๆเลยแบบนี้ยอมไม่ได้ จึงทำให้ผมร่วมกับ “เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)” เดินหน้าต่อสู้ด้วยวิธีในระบบ ผ่านการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการตรวจสอบและลงโทษบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยราชการต่างๆ รพ.ตำรวจ และแม้แต่แพทย์ที่ร่วมกันเอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ

เพราะไม่ได้หมายความว่า เมื่อแพทย์วินิจฉัยอาการป่วยแล้ว เราต้องเชื่อตามนั้นทั้งหมด เพราะนี่เป็นการวินิจฉัยโรคเพื่อนำนายทักษิณไปรับรักษาเป็นกรณีพิเศษหรือไม่ และหลายๆคนก็เคยได้เห็นกันอยู่บ่อยครั้งว่ามีแพทย์ที่ให้ความเห็นเกินเลยไปจากอาการป่วยจริง ดังนั้นในเมื่อมีข้อสงสัยมากมาย จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบแพทย์ และต้องมีการตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยตรวจสอบผ่านป.ป.ช.เท่านั้น แต่เนื่องจาก ที่ผ่านมา ป.ป.ช.ไม่ทำงาน ไม่มีการตรวจสอบเลย เราจึงต้องกดดันป.ป.ช.ให้ตั้งผู้ไต่สวนอิสระมาดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งผมก็ดีใจที่ฝ่ายป.ป.ช.ออกมาพูดแล้วว่าได้รับคำร้องที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ตรวจสอบแล้ว

ผมเห็นว่า ป.ป.ช.เป็นหน่วยงานเดียวเท่านั้นที่มีอำนาจตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นกรมราชทัณฑ์ รพ.ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับกรณีของนายทักษิณว่าเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องตั้งหลักให้ดี และดำเนินการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา เพื่อรักษาระบบนิติรัฐ อย่าลืมว่าป.ป.ช.เป็นหนึ่งในองค์กรอิสระ ซึ่งในระบบเสรีนิยมประชาธิปไตย องค์กรอิสระมีไว้เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายเสียงข้างมาก และแม้ผู้ที่เกี่ยวข้องจะบอกว่านายทักษิณป่วยจริงและได้รับประโยชน์ เขาก็พูดได้ แต่ผมไม่เชื่อ จึงต้องขอให้องค์กรอิสระอย่างป.ป.ช.มาช่วยตรวจสอบ

@ จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์และความไม่พอใจของหลายๆฝ่ายต่อการเลือกปฏิบัติที่ว่านี้ จะนำไปสู่ความขัดแย้งในบ้านเมืองที่รุนแรงถึงขั้นทำให้ประชาชนออกมาประท้วงครั้งใหญ่เหมือนในอดีตได้หรือไม่

ไม่มีอย่างนั้นแล้ว ไม่มีทางที่จะนำคนจำนวนมากหลายพันหลายหมื่นคนมาลงถนนชุมนุมประท้วง มานั่งหน้าเวทีกดดัน เพราะประชาชนในเวลานี้คิดว่า เสียเวลาทำมาหากิน แต่พวกเขาจะแสดงออกถึงความรู้สึกในใจต่อเรื่องต่างๆ ผ่านสื่อโซเชียล

“ผมจึงขอเรียกร้องว่าถ้าประชาชนเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้หรือพรรคเพื่อไทยทำไปนั้นไม่มีความชอบธรรม ขอให้เก็บความไม่พอใจเหล่านั้นเอาไว้ในใจแล้วไปสู้กันในระบบ ด้วยการแสดงออกในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไปเทคะแนนเลือกพรรคการเมืองอื่นๆที่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย แต่ถ้าใครคิดว่าพรรคเพื่อไทยทำถูกต้องทุกอย่าง ก็ให้ไปลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยให้ถล่มทลาย เพื่อจะได้รักษาสิ่งที่คนของพรรคนี้ทำไว้”

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่เราทุกคนต้องจับตา คือ เรื่องการสั่งฟ้องนายทักษิณในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่างชาติที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 โดยกองทัพเป็นผู้แจ้งความให้ดำเนินคดีกับนายทักษิณ ต่อมา ในปี 2559 “ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร” อัยการสูงสุด (อสส.)ในขณะนั้น ได้มีความเห็นว่าควรสั่งฟ้องนายทักษิณ ซึ่งเวลานั้นนายทักษิณยังหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ทั้งที่นายทักษิณสามารถมอบหมายบุคคลอื่นส่งคำให้การในต่อสู้คดีนี้ได้ แต่ในเมื่อขณะนี้นายทักษิณกลับเข้ามาแล้ว และคิดว่าตัวเองยังไม่รับความเป็นธรรม ต้องการให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม ทางอัยการก็เปิดโอกาสให้ได้ เราจึงต้องจับตาดูว่า อสส.คนปัจจุบันจะยังคงความเห็นให้สั่งฟ้องคดีดังกล่าวอยู่หรือไม่

แต่ถ้ามีการกลับคำสั่งของ อสส.คนเก่าโดยไม่สั่งฟ้องนายทักษิณ ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก และจะทำให้ความเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมได้รับความเสียหายอย่างมาก ดังนั้น อสส.คนปัจจุบันถ้าจะไม่สั่งฟ้องนายทักษิณ ต้องหักล้างหลักฐานและเหตุผลของอสส.คนเดิมทั้งหมด และที่สำคัญ ต้องชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจนต่อสังคมให้ได้ว่าทำไมจึงไม่สั่งฟ้อง ผมจึงคิดว่าอสส.คนปัจจุบันคงไม่กล้ากลับคำสั่งฟ้องนายทักษิณในคดีนี้

นับตั้งแต่นายทักษิณกลับเข้าประเทศ กระบวนการยุติธรรมสั่นคลอนมาก ตั้งแต่กรณีที่ให้อยู่ชั้น 14 ของรพ.ตำรวจ และถ้ายังจะไม่สั่งฟ้องนายทักษิณในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย ก็จะยิ่งเสียหายซ้ำสอง ยิ่งเกิดวิกฤต และจะส่งผลถึงความน่าเชื่อถือของกองทัพด้วยเพราะเป็นผู้แจ้งความในคดีนี้

@ กรณีของนายทักษิณจะส่งผลให้คะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหายมากน้อยแค่ไหน

ไม่แน่ใจว่าจะเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่มีผลกระทบกับคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยแน่นอน และในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ความร้อนแรงของพรรคเพื่อไทยจะไม่มากเหมือนเก่า แต่ความร้อนแรงจะไปเพิ่มที่พรรคก้าวไกล โดยคนที่ไม่พอใจกับการเลือกปฏิบัติโดยคนในรัฐบาลชุดนี้และพรรคเพื่อไทย โดยจะหันไปเลือกพรรคก้าวไกลมากขึ้น