เคยสังเกตตัวเองกันบ้างไหมคะ? ว่าบางครั้งอะไรที่เราเคยชอบ เคยมีความสุขที่จะได้ทำ แต่บางครั้งความรู้สึกเหล่านั้นกลับหายไป จนเฉยชา ไม่อยากทำอะไรกับชีวิต ซึ่งอาการเหล่านี้ อาจจะเป็นบ่อเกิดของ “ภาวะสิ้นยินดี”

โดย แพทย์หญิงณัฏฐพัชร์ ลำเลียงพล จิตแพทย์โรงพยาบาลBMHH- Bangkok Mental Health Hospital ได้เผยผ่าน “Healthy Clean” ว่า “แน่นอนว่าความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝัน แต่บางครั้ง เราก็อาจเผชิญกับภาวะที่สูญเสียความสุข รู้สึกเฉยชา ไม่อยากทำอะไร ราวกับชีวิตไร้ซึ่งสีสันโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนของ “ภาวะสิ้นยินดี” เป็นภาวะทางจิตเวชที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า”

ภาวะสิ้นยินดี Anhedonia เป็นอาการผิดปกติทางจิตเวชที่ผู้ป่วยจะเฉยชาต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวและมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างน้อยลง ส่งผลให้ ไม่มีความสุข ไม่มีความสนุก ไม่มีอารมณ์ร่วมกับสิ่งที่เจอในชีวิตประจำวัน ทั้งที่เมื่อก่อนสิ่งต่างๆ รอบตัวสามารถสร้างความสุขให้กับตัวเองได้ เช่น การไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยวกับคนรัก

ภาวะสิ้นยินดี มีสาเหตุมาจากความผิดปกติในสมอง เนื่องจากสมองจะหลั่งสารแห่งความสุข หรือ ฮอร์โมนโดปามีนออกมา เมื่อทำในสิ่งที่ชอบ แต่คนที่มีภาวะสิ้นยินดี สมองจะไม่มีการหลั่งสารโดปามีน จึงทำให้รู้สึกไม่มีความสุขเวลาทำกิจกรรมที่ตัวเองเคยชอบ

สามารถพบได้ในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ โรคเครียดหลังจากได้ประสบกับเหตุการณ์สะเทือนใจ หรือในบางครั้งก็เป็นผลจากโรคทางกาย เช่น โรคพาร์กินสัน โรคหลอดเลือดทางสมอง ซึ่งอาการของภาวะนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

อาการของภาวะสิ้นยินดี
-ไม่ชอบเข้าสังคม
-ไม่รู้สึกสุข ไม่รู้สึกเศร้า
-ความสุขจากกิจวัตรประจำวันลดลง
-ความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวลดน้อยลง
-สนใจงานอดิเรกที่เคยทำก่อนหน้านี้น้อยลง
-เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง หมดกำลังใจ
-ไม่ตื่นเต้นที่จะออกไปเที่ยวกับเพื่อนอีกต่อไป
-ความต้องการทางเพศลดลง
-ไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากใคร
-ไม่อยากฟังเรื่องราวคนอื่น

ภาวะสิ้นยินดีจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
-ภาวะสิ้นยินดีทางสังคม (Social Anhedonia) ผู้ป่วยจะไม่อยากพบเจอ พูดคุย ไม่ได้ต้องการสร้างสัมพันธ์กับบุคคลใด
ภาวะสิ้นยินดีทางร่างกาย (Physical Anhedonia) ผู้ป่วยจะไม่มีความรู้สึกเพลิดเพลินกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ไปกินอาหาร ไปดูหนัง ก็ไม่ได้แฮปปี้เหมือนที่เคย

การรักษาภาวะสิ้นยินดี ไม่มีการรักษาเฉพาะเจาะจง ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยว่ามีภาวะอื่น ๆ ร่วมด้วยหรือไม่ เช่น หากมีภาวะซึมเศร้า แพทย์ก็จะจ่ายยาต้านซึมเศร้าพร้อมกับการให้ดูแลสุขภาพกาย ขณะเดียวจิตแพทย์ก็จะให้คำแนะนำในการหากิจกรรมที่ตัวเองทำแล้วมีความสุข เช่น ฟังเพลง, ทำกิจกรรมกับคนรัก, กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ, เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม โดยเลือกเข้าสังคมที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ และควรหมั่นสังเกตอาการตัวเอง ว่าอะไรเป็นปัจจัยกระตุ้นความเครียด พยายามปรับวิถีชีวิตเพื่อลดความเครียดเท่าที่ทำได้, เขียนบันทึกประจำวัน ที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างน้อยวันละ 1 เรื่อง ไม่จำเป็นต้องเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ อาจเป็นความสุขเล็กๆ เช่น วันนี้ได้กินอาหารอร่อย และการออกกำลังกาย เพราะการทำกิจกรรมทางกาย ร่างกายจะหลั่งสารโดปามีนกระตุ้น “ความสุข” ให้แก่สมองค่ะ..

………………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”

อ่านบทความทั้งหมดที่นี่……