เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุด ในการต่อสู้ที่ยาวนานหลายปี ระหว่างฝ่ายบริหารอียูในกรุงบรัสเซลส์ และบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ซึ่งครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ตั้งแต่ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ไปจนถึงการบิดเบือนข้อมูล
ฝ่ายบริหารอียูในกรุงบรัสเซลส์ สั่งปรับเงินบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เป็นจำนวนรวมมากกว่า 10,000 ล้านยูโร (ราว 393,000 ล้านบาท) ฐานใช้อำนาจเหนือตลาดในทางที่ผิด ซึ่งกรณีล่าสุดสำหรับแอปเปิล เกิดขึ้น 3 เดือนหลังจากอียู สั่งปรับบริษัทเป็นเงิน 1,800 ล้านยูโร (ราว 70,750 ล้านบาท) จากการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานในยุโรป เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับบริการสตรีมมิงเพลงที่มีราคาถูกกว่า
ในบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี มีแค่ “กูเกิล” เท่านั้นที่ถูกปรับตามกฎหมายต่อต้านการผูกขาด “เพียงครั้งเดียว” เป็นจำนวนเงินมากกว่า 4,000 ล้านยูโร (ราว 157,000 ล้านบาท) เมื่อปี 2561 จากการใช้ระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา “แอนดรอยด์” เพื่อโปรโมตเสิร์ชเอนจินของบริษัท
นอกจากนี้ กูเกิลยังต้องเสียค่าปรับเพิ่มอีก 1,000 ล้านยูโร (ราว 40,000 ล้านบาท) ฐานใช้อำนาจในทางที่ผิด ในภาคส่วนชอปปิงและการโฆษณาทางออนไลน์ด้วย ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) แนะนำเมื่อปีที่แล้วว่า กูเกิลควรขายธุรกิจบางส่วนของตัวเอง และอาจต้องเสียค่าปรับสูงสุดถึง 10% ของมูลค่าการซื้อขายทั่วโลกของบริษัท หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ทั้งนี้ ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่ดำเนินการปรับอย่างเข้มงวดที่สุด ในประเด็นความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เนื่องจากมีการบังคับใช้กฎหมายโดยหน่วยงานกำกับดูแลภายในประเทศ อีกทั้งกรุงดับลิน ก็เป็นที่ตั้งของสำนักงานสาขายุโรป ของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายแห่งเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม อียูกลับประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย ในการทำให้บริษัทเทคโนโลยีจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นในยุโรป ซึ่งพวกเขาถูกกล่าวหาว่า มีการส่งผลกำไรไปยังประเทศที่มีภาษีต่ำ เช่น ไอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก
อนึ่ง แพลตฟอร์มเว็บต่าง ๆ เผชิญกับข้อกล่าวหามานานแล้วว่า ประสบความล้มเหลวในการต่อสู้กับคำพูดที่สร้างความเกลียดชัง, ข้อมูลที่บิดเบือน และการละเมิดลิขสิทธิ์
ด้วยเหตุนี้ อียูจึงผ่าน “กฎหมายการให้บริการดิจิทัล” (ดีเอสเอ) เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อบังคับให้บริษัทต่าง ๆ จัดการกับปัญหาเหล่านี้ มิฉะนั้นจะถูกปรับมากถึง 6% ของมูลค่าการซื้อขายทั่วโลก
จนถึงขณะนี้ อียูเริ่มแสดงให้เห็นแล้วว่า ดีเอสเอมีผลบังคับใช้อย่างไร ด้วยการเปิดการสอบสวนต่อเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม ที่ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลบิดเบือนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งได้ อีกทั้งอียูยังเตือนไมโครซอฟท์ว่า ข้อมูลเท็จที่เกิดการจากค้นหาด้วยปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) อาจขัดต่อดีเอสเอเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น กูเกิล และแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ ยังถูกกล่าวหาว่า ทำเงินจากข่าวได้หลายพันล้านยูโร แต่ไม่แบ่งปันรายได้ให้กับผู้รวบรวมข่าวสาร ส่งผลให้อียู สร้างลิขสิทธิ์รูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า “สิทธิข้างเคียง” ซึ่งเป็นการอนุญาตให้สื่อสิ่งพิมพ์ สามารถเรียกร้องค่าชดเชยจากการใช้เนื้อหาของพวกเขาได้.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP