สัปดาห์นี้ “ดูอะไรดี” รีวิวภาพยนตร์แอ๊คชั่นสายลับชื่อดัง “เจมส์ บอนด์ 007” ภาคที่ 25 หลังจากที่เคยมีกำหนดฉายตั้งแต่ปี 2020 แต่เพราะพิษโควิด-19 ทำให้เลื่อนฉายไป 3 รอบ กินเวลาเป็นปี ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นฝีมือกำกับของ “แครี่ โจจิ ฟูคูนากะ” ที่เคยมีผลงานอย่าง Beasts of No Nation และ Maniac ทั้งยังได้สกอร์ดนตรีสุดอลังการจาก “ฮันส์ โฟลเรียน ซิมเมอร์” นักแต่งเพลงและนักแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ชื่อดัง ที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลออสการ์ รางวัลลูกโลกทองคำมาแล้ว ส่วนตัวพระเอกสายลับ 007 ยังเป็นบทของ “แดเนียล เคร็ก” (Daniel Craig) ดาราหนุ่มใหญ่ชื่อดังที่มีความหล่อล่ำ ตาสีฟ้า บุคลิกเนี๊ยบ แต่บทบาท 007 ของเขาจะไม่เหมือนสายลับรุ่นก่อน เพราะต้องเล่นรบทดุดัน รักเป็น ร้องไห้เป็น และเจ็บปวดเป็น นอกจากนี้ยังให้เกียรติและปกป้องผู้หญิง ไม่ว่าจะร้ายกาจกับเขาแค่ไหนก็ตาม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมเขาถึงเป็น 007 ที่มีคนรักมากและทรงพลังที่สุุดเท่าที่เคยมีมา

                ก่อนหน้านี้ “แดเนียล เคร็ก” เคยรับบท “เจมส์ บอนด์” มาแล้วด้วยกัน 4 ภาค ได้แก่ Casino Royale (2006), Quantum of Solace (2008), Skyfall (2012) และ Spectre (2015) ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย เพราะ No Time To Die” เป็นหนังภาคสุดท้ายที่ เคร็ก จะรับบท 007 สำหรับสาเหตุที่ดาราหนุ่มบอกลาบท “เจมส์ บอนด์” ก็เพราะด้วยวัย 53 ปี ถึงเวลาอันสมควรที่ต้องบอกลาบทแอ็คชั่นสมบุกสมบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์ที่เขาพลาดขาหักในกองถ่ายตอน Spectre ซึ่งไม่สามารถจะหยุดถ่ายได้ เขาจึงต้องฝืนทนความเจ็บปวดด้วยการใช้เครื่องดามขาเอาไว้แล้วแสดงต่อ ยิ่งมาเจอเหตุการณ์เดิม ๆ ในตอนถ่าย No Time To Die ที่เขาลื่นล้มจนเส้นเอ็นฉีก!! ต้องเข้ารับการผ่าตัด พักฟื้นได้ไม่นานก็ต้องทนความเจ็บปวดซ้ำรอยเก่ารีบมาถ่ายหนังต่อ มันจะทำให้เขารู้ว่า ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีได้ ชีวิตย่อมสำคัญกว่าเสมอ อย่างไรก็ตาม มีสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า เฉพาะรายได้จากหนังสายลับ 5 เรื่องที่เขาเล่นก็มากกว่า 110 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 3,729 ล้านบาทเข้าให้แล้ว ยังไม่รวมรายได้จากหนังเรื่องอื่น ๆ และส่วนแบ่งรายได้จากหนังใหม่อย่าง No Time To Die ที่กำลังฉายในเวลานี้ด้วย

                เรื่องย่อของ “พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ” (No Time To Die) เป็นช่วงเวลาที่สายลับ เจมส์ บอนด์ กำลังสนุกไปกับชีวิตอันเงียบสงบในจาไมก้า แต่ช่วงเวลาพักผ่อนนั้น ก็เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ เพราะ “เฟลิกซ์ เลเตอร์” (Jeffrey Wright) เพื่อนเก่าจากซีไอเอ มาขอให้เขาช่วยทำงาน เป้าหมายคือช่วยชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ บอนด์ต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ

                ความโดดเด่นของ No Time To Die แค่โปรดักชั่นก็กินขาดในทุก ๆ ด้านแล้ว โลเกชั่นต่างประเทศตั้งแต่ อิตาลี ยัน จาไมก้า สภาพบ้านเรือนเก่า ๆ ดูสวยงามมาก ๆ เพลงประกอบฟังรื่นหู ดูลึกลับและน่าค้นหา ขณะที่บทบาทของ 007 ยังคงไว้ซึ่งความเนี๊ยบหรู ดูแพง อุปกรณ์ช่วยชีวิตมีโชว์ให้เห็นบ้าง แต่ไปเน้นที่รถ “Aston Martin DB5” เหมือนกำลังย้อนไปดูภาคแรก Casino Royale ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจของผู้กำกับก็เป็นได้ ขณะที่องค์รวมและความดราม่าของหนังยังเต็มไปด้วยความเข้มข้นแอ๊คชั่น โหด-ดุ-ดิบ ตามแบบฉบับ 007 ของ “แดเนียล เคร็ก”

                สำหรับสาวสวยในเรื่องนี้ให้เน้นไปที่ “ดร. เมเดอลีน สวอน์” (รับบทโดย เลอา แซดู) ผู้มีความลับมากมายซ่อนอยู่ บทบาทสร้างความดราม่าว้าวุ่นใจได้นิดหน่อย ขณะที่สาว “โนมิ” (รับบทโดย ลาชานา ลินช์) สายลับรุ่นใหม่ที่ยึดเอารหัส 007 ไปใช้แบบหน้าตาเฉย ก็ยังพอมีลูกเล่นแพรวพราวบ้าง แต่จะเน้นบทบู๊แอ๊คชั่นซะมากกว่า ท้ายที่สุดที่ต้องชื่นชมก็คือตัวร้ายหน้านิ่งอย่าง “ซาฟิน” (รับบทโดย รามี มาเลค) ที่เล่นได้น่ากลัว เยือกเย็น ทำให้รู้สึกว่าร้ายกาจสมกับเป็นคู่ปรับของ 007 ในภาคนี้จริง ๆ

                …ถือเป็นภาพยนตร์ที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ไม่ดูไม่ได้เด็ดขาด…

                แม้ว่าบทบาท 007 ของ “แดเนียล เคร็ก” จะต้องปิดตัวลงไปก็ตาม แต่เหล่านักวิจารณ์ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทยเอง ต่างก็สังเกตเห็นบางอย่างในหนังเรื่องนี้ นั่นก็คือ Easter Egg หรือ สิ่งที่แอบซ่อนไว้เชื่อมโยงกับหนังเรื่องอื่นหรือตอนอื่น ๆ การใช้มุกตลกหน้าตายแบบเวอร์ชั่นเดิม ๆ ทำให้ฉุกคิดไปว่าคนที่จะเป็น 007 “…คนต่อไปนั้น จะเป็นแบบไหนกันแน่….”

                จนนำมาสู่คำถามที่ว่า “…คุณอยากให้บทบาทของ เจมส์ บอนด์ 007 คนต่อไปเป็นของใคร?… “

ภาณุพงศ์ ส่องสว่าง