สัปดาห์หน้า!! ประเทศไทยจะเปิดรับนักท่องเที่ยวจาก 46 ประเทศ ให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยใน 17 จังวัดนำร่อง โดยไม่ต้องกักตัว แต่ต้องฉีดวัคซีนครบโดส มีผลตรวPCR จ RT-ก่อนเดินทาง และเมื่อเดินทางมาถึงต้องไม่พบเชื้อโควิด-19

ถามว่า? เอาเข้าจริงแล้วประเทศไทยน่ะ มีความพร้อมจริง ๆ แล้วหรือ?

แม้กระบวนการทำงานในภาพรวม ในหลายส่วนงานที่เกี่ยวข้องอาจเร่งแก้ปัญหา เร่งเตรียมการ เพื่อให้เดินหน้าตามเป้าหมายให้ได้แต่ในข้อเท็จจริงหรือในการปฎิบัติ ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ยังมีสารพัดปัญหาที่ติดขัด

อย่างกรณีการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึง อาจทำให้เกิดการแออัดในพื้นที่สนามบิน ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปตรวจหาเชื้อที่โรงแรม หรือที่พัก ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องควักจ่ายเงินเองอีกไม่เกินคนละ 2,000 บาท

รวมไปถึงเรื่องการใช้ไทยแลนด์พาส แทนการใช้ COE ซึ่งเป็นเอกสารด้านการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม และการตรวจหาเชื้อ ด้วยวิธี RT-PCR ก่อนเดินทางมาไทย


นอกจากนี้…ยังมีเรื่องของความพร้อม ของจังหวัดนำร่องท่องเที่ยว ว่า…มีระบบการจัดการ การดูแล ได้เพียงพอ รัดกุม เข้มงวด มากน้อยอย่างไร?
ข้อสำคัญที่สุด!!! คือ การฉีดวัคซีนให้กับคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะในเข็มที่ 2 ที่สามารถต้านทานไวรัสร้ายอย่าง “เดลต้า” ได้ ยังไม่ถึง 50% ของประชากร

แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พยายามดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน อย่างดีที่สุด เพื่อให้ภูมิคุ้มกันหมู่นั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว…สารพัดคลัสเตอร์การติดเชื้อโควิด ก็คงยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

จากที่เคยระบาดหนัก ๆ ในเมืองกรุง แม้จะทุเลาเบาบางขึ้นบ้าง แต่การระบาดก็กลับย้ายที่ไปยังภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคใต้ที่กำลังหนักหนาสาหัสและทะลุกลายมาเป็นอันดับสองรองจากเมืองกรุง เช่นเดียวกับที่จังหวัดเชียงใหม่ 1 ใน 17 จังหวัดนำร่อง ที่ทุกวันนี้ตัวเลขก็ยังพุ่งสูงขึ้น

จะด้วยวิถีชีวิตความเป็นอยู่ จะด้วยปัญหาการเข้าไม่ถึงวัคซีน หรือสารพันปัญหา สารพันสาเหตุ แต่…ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้าม หรือปล่อยปละละเลยไปได้

ไม่ใช่แค่เรื่องของการกระจายวัคซีน ในเรื่องของการสร้าง “ความเชื่อมั่น” ก็เช่นเดียวกัน!!

ที่ภาคเอกชนยังกังวลว่า ในเมื่อนายกฯบิ๊กตู่ ออกมาประกาศการเปิดประเทศที่ชัดเจนแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสื่อสารไปยังประเทศต่าง ๆ ถึงกระบวนการในการเดินทางเข้าไทย ที่ต้องเป็นมาตรฐานสากล

ไม่เพียงเท่านี้!! ตัวประชาชนคนไทยเอง ถือเป็นจุดใหญ่ของสาเหตุ ที่ต้องระมัดระวังตัวเองอย่างเข้มงวด เพราะอย่าลืมว่าการคลายล็อกดาวน์นั้นเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา แต่ด้วยความประมาท การ์ดตก ก็ทำให้ทุกคนต้องเจ็บตัวกันมามากมาย

ดูอย่างการคลายล็อคดาวน์ล่าสุด ที่ขยายเวลาการเปิด-ปิดห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ต่าง ๆ การเปิดกิจกรรมกิจการ เพิ่มเติมก็ยังพบว่าการปฎิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด ข้อมูลจากกรมอนามัยที่ออกสุ่มตรวจระบุว่า… ยังไม่เข้มข้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจำกัดจำนวนคน การห้ามรวมตัว การเว้นระยะห่าง แม้ผู้ประกอบการจะมีการกำหนดมาตรการมากมาย แต่ในข้อเท็จจริง ไม่สามารถควบคุมให้เข้มงวดได้จริง

นอกจากนี้…ตัวอย่างในต่างประเทศก็ยังมีให้เห็น มีให้เรียนรู้ไว้เป็นบทเรียน อย่าง ชิลี หรือ เดนมาร์ก ที่เปิดประเทศไปเมื่อไม่นาน แต่ปรากฎว่าการระบาดก็เกิดขึ้นเป็น 2 เท่า ในทุก 3 สัปดาห์

ทั้ง ๆ ที่ทั้ง 2 ประเทศได้ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 70% ของประชากรหรือจะเป็นที่สิงคโปร์ใกล้บ้านเรา เปิดประเทศไปแล้ว ก็ยังมีการระบาดสูงขึ้นเช่นกัน แม้จะมีการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วกว่า 80% ก็ตาม!!

การประกาศความชัดเจนของการเปิดประเทศครั้งนี้ เพื่อหวังให้นักท่องเที่ยวได้วางแผน ได้เตรียมตัว เพราะกำลังเข้าสู่ดูกาลท่องเที่ยว หรือไฮซีซั่น

แต่เอาเข้าจริง ต้องถามว่ามีนักท่องเที่ยวมากน้อยแค่ไหน? ที่จะเดินทางเข้าไทย อย่าลืม “เกาะบาหลี” ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังไม่น้อยไปกว่าไทย เปิดเกาะวันแรก 14 ต.ค. เพื่อรับนักท่องเที่ยวจาก 19 ประเทศ ปรากฎว่าไม่มีเที่ยวบินไปลง ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติสักคน

หรืออย่างสิงคโปร์ ที่เปิดประเทศ ไม่มีการกักตัว แต่สุดท้ายจำนวนผู้ติดเชื้อก็เพิ่มสูงขึ้น จนล่าสุด…มีคลิปว่อนไปทั่ว ว่าทั้งลำของสายบิน มีผู้โดยสารเพียงคนเดียว

แต่ในเมื่อประเทศยังต้องเดินหน้า ระบบเศรษฐกิจ ยังต้องเดินต่อไปให้ได้ การ “ยอมแลก” ในครั้งนี้ ถือเป็น “เป้าหมาย”ใหญ่ ที่รัฐบาลต้องบริหารจัดการให้ได้!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”