ข้อมูลจาก “ยูนิต 42” ที่เป็นทีมงานด้านความมั่นคงของ “พาโล อันโต เน็ตเวิร์กส์” ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐ เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ ว่าบุคลการด้านไอทีของเกาหลีเหนือ ซึ่งอาศัยอยู่ในลาว ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งของสหรัฐ

ทั้งนี้ หนึ่งในบุคคลสัญชาติเกาหลีเหนือซึ่งได้รับการว่าจ้างจากบริษัทในสหรัฐ เป็นชายที่มีรหัสประจำตัว “CL-STA-0237” แฝงตัวเข้าไปทำงานให้กับบริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กแห่งหนึ่ง แล้วจารกรรมข้อมูลเกี่ยวกับระบบของบริษัทแห่งนั้น เมื่อภารกิจสำเร็จ CL-STA-0237 ย้ายออกไปทำงานให้กับบริษัทแห่งอื่นโดยใช้ตัวตนอื่น

นายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ตรวจสอบความพร้อมของศูนย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งก่อสร้างใหม่ ภายในโรงเรียนของพรรคคนงาน ในกรุงเปียงยาง 16 พ.ค. 2567

กรณีดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ซึ่งบ่งชี้ได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีของเกาหลีเหนือ ซึ่งหลายคนอาจเป็นแฮกเกอร์ด้วย อาศัยลาวเป็นฐานปฏิบัติการ เพื่อทำงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อนึ่ง การวิเคราะห์ของยูนิต42 เชื่อว่า CL-STA-0237 ยังคงอาศัยอยู่ในลาว

ลาวถือเป็นฐานที่มั่นขนาดใหญ่ที่สุดอันดับสาม สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีของเกาหลีเหนือ รองจากจีนและรัสเซีย บุคลากรส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงกลาโหมเกาหลีเหนือ และสำนักงานอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรกล ซึ่งล้วนอยู่ในบัญชีดำการคว่ำบาตรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี )

หน่วยงานทั้งสองแห่งของรัฐบาลเปียงยางส่งเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยี มาประจำการโดยไม่เปิดเผยที่ลาว เพื่อกาทางระดมทุนเข้าสู่โครงการพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธทรงอานุภาพทำลายล้าง แม้สังกัดหน่วยงานซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของยูเอ็นเอสซี แต่ CL-STA-0327 และเจ้าหน้าที่อีกหลายคน สามารถเดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ในลาวได้ ด้วยความช่วยเหลือจากทั้ง “คนในท้องถิ่น” และอาจรวมถึง “ผู้มีอิทธิพลชาวจีน”

แม่น้ำซอง แม่น้ำสายหลักของเมืองวังเวียง หนึ่งในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของลาว

นอกจากนี้ อาจเป็นไปได้ว่า “มีช่องโหว่” ในข้อตกลงวีซ่าระหว่างเกาหลีเหนือกับลาว ซึ่งเป็นการช่วยเปิดทางให้คนกลุ่มนี้สามารถเดินทางเข้ามาได้

อย่างไรก็ตาม การอาศัยอยู่นอกเกาหลีเหนือของพนักงานไอทีใช่ว่าจะสะดวกสบาย แต่กลับเต็มไปด้วยแรงกดดัน เนื่องจากต้องอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์และตรวจสอบอย่างเข้มงวตลอดเวลา โดยรัฐบาลเปียงยาง และการต้องปลอมแปลงตัวตนเพื่อไม่ให้มีใครจับได้ ว่าเป็นชาวเกาหลีเหนือ มิเช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อภารกิจ

ขณะเดียวกัน ของพนักงานไอทีชาวเกาหลีเหนือเหล่านี้ต้องทำงานอย่างหนัก นานไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมงในแต่ละวัน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และเผชิญกับความเสี่ยงการต้องรับโทษสถานหนัก หากไม่สามารถปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย

ด้านข้อมูลจากสำนักงานสอบสวนกลาง ( เอฟบีไอ ) ระบุด้วยว่า เมื่อจารกรรมข้อมูลได้ตามที่ต้องการแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า สหรัฐยังคงเป็นเป้าหมายหลัก นอกจากนั้นยังมีบริษัทในออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ขั้นตอนต่อไปของภารกิจล้วงข้อมูลออนไลน์โดยจารชนของเกาหลีเหนือ คือการข่มขู่ไปยังหน่วยงานเหล่านั้น ว่าจะเปิดโปงข้อมูลทั้งหมด แล้วกำหนดจำนวนเงินมหาศาลให้อีกฝ่ายยอมจ่าย เพื่อแลกกับการที่ข้อมูลเหล่านั้นจะไม่แพร่งพรายออกไป

นายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ เยี่ยมชมเทคโนโลยีแผนที่สามมิติ ที่ศูนย์บัญชาการกองทัพอากาศ 1 ก.ย. 2566

ขณะที่รายงานเชิงสืบสวนสอบสวนโดยสำนักข่าวอัล-จาซีรา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า ร้านอาหารเกาหลีเหนือหลายแห่งในลาว อาจมีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้ด้วย

คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) มีคำสั่งให้สมาชิกทุกประเทศส่งกลับแรงงานเกาหลีเหนือทั้งหมดที่อยู่ในประเทศของตัวเอง ภายในเดือนธ.ค. 2562 โดยอ้างอิงตามมติหมายเลข 2397 ของยูเอ็นเอสซี ซึ่งประกาศเมื่อเดือนธ.ค. 2560

อย่างไรก็ดี คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน ในระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอฟเอทีเอฟ ( Financial Action Task Force – FATF ) เผยแพร่รายงาน เมื่อปีที่แล้ว เกี่ยวกับการประเมินการป้องกันการฟอกเงิน และการสนับสนุนทางการเงินแก่กิจกรรมก่อการร้าย วิจารณ์รัฐบาลลาว ว่าแทบไม่ให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ จึงยิ่งเพิ่มคำถามทั้งในระดับภูมิภาคและนอกภูมิภาคด้วยว่า ลาวมีความจริงจังกับการปฏิบัติตามมติของยูเอ็นเอสซีมากน้อยเพียงใด

นายคิม จอง-อิล ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ และนายคิม จอง-อึน บุตรชาย ต้อนรับพล.ท.จูมมะลี ไซยะสอน ประธานประเทศลาว ที่กรุงเปียงยาง 23 ก.ย. 2554

ท่ามกลางความพยายามของจีน และอีกหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทยและกัมพูชา ในการปราบปรามแรงงานผิดกฎหมาย บรรดาพนักงานไอทีชาวเกาหลีเหนือจึงย้ายฐานจากประเทศเหล่านี้ไปยังลาวแทน โดยปัจจัยสำคัญคือ “การตรวจสอบที่ยังไม่เข้มข้นและเข้มงวดเท่า” และการที่ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับลาวครบ 50 ปีในปีนี้ แน่นอนว่า ต้องมีการหารือเพื่อขยายขอบเขตความร่วมมือระดับทวิภาคีในอีกหลายด้าน เพียงแต่อาจไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการเท่านั้น

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( อาเซียน ) ซึ่งลาวเป็นเจ้าภาพ มีมติร่วมกัน แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาขีปนาวุธ และอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

นายสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศลาว ให้คำมั่นว่า เป็นพันธกรณีสำคัญ ในการที่ลาวซึ่งทำหน้าที่ประธานอาเซียนมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี 2547 2559 และครั้งล่าสุดคือปี 2567 ต้องยึดมั่นและปฏิบัติตามมติของยูเอ็นเอสซี ในฐานะที่ลาวคือหนึ่งในสมาชิกของอาเซียน ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่ประธาน อีกทั้งเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมระหว่างประเทศ.

ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป

เครดิตภาพ : AFP