ปริศนาการหายตัวไปของ “เจ้าชายสองพระองค์แห่งหอคอยลอนดอน” นับว่าเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าหรือตำนานแห่งราชวงศ์อังกฤษที่มีผู้ให้ความสนใจอย่างมาก ตั้งแต่ตอนเกิดเหตุในช่วงศตวรรษที่ 15 จนถึงปัจจุบัน
ในปีค.ศ. 1483 พระโอรสสองพระองค์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 คือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดหรือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 ผู้ไม่เคยได้ขึ้นครองบัลลังก์ (12 ชันษา) และเจ้าชายริชาร์ด (9 ชันษา) ดยุคแห่งยอร์ค หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจากที่คุมขังในหอคอยแห่งลอนดอน
หลายคนเชื่อว่าทั้งสองพระองค์โดนปลงพระชนม์ตามคำสั่งของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ผู้ทรงเป็นพระปิตุลา (ลุง) ของเจ้าชายที่ยังทรงพระเยาว์ทั้งสอง แม้ว่าไม่เคยมีใครพบพระศพเลย หรือพูดตามตรงก็คือไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายทั้งสองกันแน่

ก่อนหน้านี้ มีผู้นำเสนอหลักฐานว่าเจ้าชายทั้งสองอาจรอดชีวิตและหนีไปได้ ซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างมากในวงการ แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทีมงานค้นคว้าทางประวัติศาสตร์กลับพบหลักฐานที่บ่งชี้ไปในทางตรงข้ามและตรงกับความเชื่อเดิมว่า ทั้งสองพระองค์สิ้นพระชนม์เพราะคำสั่งฆาตกรรมอย่างลับ ๆ
ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Princes in the Tower: A Damning Discovery ที่กำลังออกอากาศในสหราชอาณาจักรเมื่อเร็ว ๆ นี้เผยว่า มีการค้นพบพินัยกรรมฉบับหนึ่งซึ่งมีการกล่าวถึงทรัพย์สินส่วนพระองค์ของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดรวมอยู่ด้วย
เลดี้มาร์กาเร็ต คาเปลล์ น้องสะใภ้ของหนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าลงมือปลงพระชนม์เจ้าชายทั้งสอง เขียนไว้ในพินัยกรรมของเธอโดยระบุว่า ต้องการมอบสร้อยทองเส้นหนึ่งซึ่งเธออ้างว่าเคยเป็นทรัพย์สินของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดให้ลูกชายของเธอ
ตามคำบอกเล่าของโทมัส มอร์ เสนาบดีของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ชี้ว่า เซอร์เจมส์ ไทเรล พี่เขยของเธอมีบทบาทสำคัญในการเสียชีวิตของเจ้าชายทั้งสองพระองค์

เทรซีย์ บอร์แมน นักประวัติศาสตร์ชั้นแนวหน้าซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการร่วมกับเจสัน วัตกินส์ นักแสดงชาวอังกฤษในสารคดีเรื่องนี้ เปรียบเปรยการค้นพบนี้ว่าเหมือน “จับได้คาหนังคาเขา” ว่ามีการฆาตกรรมเจ้าชายทั้งสองในปีค.ศ. 1483
หลังจากที่พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเพียงดยุคแห่งกลอสเตอร์ ประกาศให้เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและเจ้าชายริชาร์ดเป็นทายาทนอกสมรส ซึ่งเท่ากับว่าหมดสิทธิสืบทอดราชบัลลังก์ เจ้าชายทั้งสองก็ถูกพาตัวไปประทับที่หอคอยแห่งลอนดอน และหายตัวไปจากบันทึกทางประวัติศาสตร์อย่างลึกลับ
จากนั้น ดยุคแห่งกลอสเตอร์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์อังกฤษ กลายเป็นพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 และครองราชย์จนถึงปีค.ศ. 1485 จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในการรบที่สมรภูมิบอสเวิร์ธฟิลด์
พินัยกรรมเก่าแก่ที่ถูกมองข้ามไปฉบับนี้มีอายุย้อนไปถึงปีค.ศ. 1522 ถูกค้นพบที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติโดยศาสตราจารย์ทิม ธอร์นตัน สมาชิกราชสมาคมประวัติศาสตร์แห่งอังกฤษและรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮัดเดอส์ฟิลด์
เนื้อหาในพินัยกรรมมีท่อนนึงเขียนไว้ว่า “นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอมอบสร้อยทองของบิดาของเซอร์ไจลส์ บุตรชายของข้าพเจ้า แก่เขา ซึ่งเคยเป็นสมบัติของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 เมื่อยังทรงพระเยาว์”
กระนั้นก็ไม่มีความชัดเจนว่าเลดี้มาร์กาเร็ต ซึ่งเป็นภรรยาม่ายของเซอร์วิลเลียม คาเปลล์ นายกเทศมนตรีลอนดอนสองสมัย ได้สร้อยทองของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดมาอย่างไร
เซอร์เจมส์ ไทเรลล์เป็นหนึ่งในพี่เขยสามคนของเซอร์วิลเลียม ซึ่งเคยทิ้งพินัยกรรมอ้างถึงการติดต่อทางธุรกิจกับตระกูลไทเรลล์ โดยเป็นที่รู้กันว่าพวกเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเครื่องเพชรและเครื่องประดับมีค่า ขณะที่เซอร์เจมส์เองก็เป็นสมาชิกในพระราชวงศ์ของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3
การค้นพบครั้งนี้เท่ากับเป็นการสนับสนุนข้อเขียนของโทมัส มอร์ในหนังสือเรื่อง The History of King Richard III ซึ่งอ้างว่า เซอร์เจมส์ได้ว่าจ้างชายสองคน ได้แก่ ไมลส์ ฟอเรสต์และจอห์น ไดตันเพื่อปลงพระชนม์เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและเจ้าชายริชาร์ด โดยแนะว่าควรสังหารเหยื่อทั้งสองขณะหลับ

ชายทั้งสองลงมือในช่วงเที่ยงคืน หลังจากที่กันคนดูแลเจ้าชายคนอื่น ๆ ออกไปจากห้องบรรทมหมดแล้ว ใช้ผ้าปูที่นอนและเครื่องนอนพันธนาการเจ้าชายน้อยทั้งสอง แล้วใช้หมอนอุดปากและจมูกจนกระทั่งทั้งคู่สิ้นพระชนม์เพราะขาดอากาศหายใจอยู่บนเตียง
ศจ. ธอร์นตัน ผู้ค้นพบพินัยกรรมชี้ว่า หลังจากที่มีการคาดเดาถึงเรื่องราวการหายตัวของเจ้าชายสองพระองค์นี้มาเป็นเวลานานหลายศตวรรษ ถึงตอนนี้ก็ได้พบหลักฐานว่า เซอร์เจมส์ ไทเรลล์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมเจ้าชายน้อยทั้งสองจริง ๆ จึงมีทรัพย์สินของเจ้าชายอยู่ในครอบครอง
ดร. บอร์แมน หัวหน้าภัณฑารักษ์ของแผนประวัติศาสตร์พระราชวังหลวงกล่าวว่า “ชะตากรรมของเจ้าชายในหอคอยเป็นหนึ่งในปริศนาที่น่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของป้อมปราการและพระราชวังอันเป็นสัญลักษณ์แห่งนี้ มันยังคงสร้างความหลงใหลแก่ผู้มาเยี่ยมชมจนถึงทุกวันนี้ แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 500 ปีหลังจากที่เจ้าชายทั้งสองหายตัวไป”
ที่มา : dailymail.co.uk
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, Wikipedia