สภานิติบัญญัติแห่งชาติของเกาหลีใต้มีมติ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา รับรองญัตติถอดถอนประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล จากการใช้อำนาจประกาศกฎอัยการศึก ซึ่งมีผลนานราว 6 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 3-4 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก 204 เสียง คัดค้าน 85 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และบัตรเสีย 8 ใบ ซึ่งการที่เสียงสนับสนุนเกินสองในสาม จากทั้งหมด 300 เสียงในสภา หมายความว่า ยุน ซอก-ยอล ต้องระงับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดี และให้นายฮัน ด็อก-ซู นายกรัฐมนตรี รักษาการแทน

ขั้นตอนหลังจากนี้ คือการที่ญัตติถอดถอนเข้าสู่การพิจารณาโดยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเวลานานสูงสุด 180 วัน ในการวินิจฉัยและลงมติ แต่สถานการณ์ยิ่งทวีความซับซ้อนและยุ่งยาก เนื่องจากตอนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้มีองค์คณะเพียง 6 คน จากทั้งหมด 9 คน เนื่องจากยังไม่มีการเสนอชื่อ และรับรองผู้พิพากษาใหม่ 3 คน แทนผู้พิพากษาเดิมซึ่งเกษียณอายุตามวาระ เมื่อเดือนต.ค. ที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากความขัดแย้ง ระหว่างรัฐบาลของยุน ซอก-ยอล ซึ่งมีเสียงข้างน้อย กับฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ฝ่ายค้านครองเสียงข้างมาก

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้ระบุชัดเจน ว่าการพิจารณาคดีหนึ่งคดีใด ต้องมีตุลาการอยู่ในวาระไม่น้อยกว่า 7 คน อย่างไรก็ตาม นางอี จิน-ซุก ประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสารเกาหลี ซึ่งสภานิติบัญญัติลงมติถอดถอนเธอ เมื่อเดือนก.ย. ที่ผ่านมา เป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้มีการระงับใช้เงื่อนไขดังกล่าว เพื่อให้ศาลสามารถพิจารณาญัตติถอดถอนที่มีต่อเธอได้ ซึ่งศาลมีมติเห็นชอบตามคำร้อง นั่นหมายความว่า ตุลาการทั้ง 6 คน ยังคงมีอำนาจพิจารณาญัตติถอดถอนยุน ซอก-ยอล และคำร้องอื่นที่มีกำลังรอการพิจารณา

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้ระบุด้วยว่า การรับรองญัตติถอดถอนโดยศาลรัฐธรรมนูญ ต้องมาจากเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่า 6 จาก 9 เสียงขององค์ประชุม หมายความว่า ผู้พิพากษาที่เหลืออีก 6 คน ต้องมีความเห็นเป็นเอกฉันท์เท่านั้น นอกจากนี้ การลงมติโดยผู้พิพากษาเพียง 6 คน มีแนวโน้มสร้างความวิตกกังวล และเรียกเสียงวิจารณ์จากสังคม เกี่ยวกับ “ความเที่ยงธรรม” ของศาล

นักเคลื่อนไหวสวมหน้ากากเป็นประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ยืนหลังฉากที่จำลองเป็นห้องขัง ระหว่างการประท้วงขับไล่ผู้นำเกาหลีใต้ ในกรุงโซล

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2556 ประธานาธิบดีพัก กึน-ฮเย สร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้นำหญิงคนแรกของเกาหลีใต้ แต่ในอีก 3 ปีต่อมา เธอเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติถอดถอน เมื่อปี 2559

กรณีอื้อฉาวทางการเมืองที่ส่งผลให้พัก กึน-ฮเย ร่วงลงจากอำนาจ เต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากลและความผิดปกติมากมาย หลังการลงมติถอดถอนของสภา กระบวนการพิจารณาเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีการพิจารณาข้อร้องเรียนของหลายฝ่าย เกี่ยวกับการที่ พัก กึน-ฮเย ละเมิดอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ขัดขวางเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชน การทุจริต การไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถในฐานะประธานาธิบดี และการละเมิดอำนาจของประชาชนที่มอบให้ผ่านการเลือกตั้ง ด้วยการให้บุคคลใกล้ชิด ที่ไม่ได้มีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี เข้ามามีส่วนร่วมกับการขับเคลื่อนนโยบาย

นอกจากนี้ สำนวนของอัยการยังรวมถึงการที่ พัก กึน-ฮเย รับสินบนจากบุคคลมากหน้าหลายตา หนึ่งในนั้นคือนายอี แจ-ยอง ประธานบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรับโทษจำคุกจากการเป็นผู้จ่ายสินบนเช่นกัน

หลังใช้เวลาพิจารณานานราว 3 เดือน ศาลรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้มีมติเอกฉันท์ 8 ต่อ 0 เสียง รับรองญัตติถอดถอนพัก กึน-ฮเย ส่งผลให้เธอต้องพ้นจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และในที่สุด ศาลมีคำพิพากษาให้พัก กึน-ฮเย ซึ่งเป็นบุตรสาวคนเดียวของอดีตประธานาธิบดี พัก จอง-ฮี ผู้นำเผด็จการของเกาหลีใต้ ต้องรับโทษจำคุกในเรือนจำเป็นเวลานาน 22 ปี

อย่างไรก็ตาม พัก กึน-ฮเย ได้รับการอภัยโทษ เมื่อเดือนธ.ค. 2564 โดยประธานาธิบดีมุน แจ-อิน ซึ่งชนะการเลือกตั้งต่อจากเธอ

ผู้นำเกาหลีใต้ก่อนหน้าพัก กึน-ฮเย คือประธานาธิบดี อี มยอง-บัก ถูกอัยการสั่งฟ้องเมื่อปี 2561 หรือหลังมหดวาระการดำรงตำแหน่งมาแล้วราว 5 ปี ในข้อหารับสินบน ฉ้อโกง และใช้อำนาจโดยมิชอบ

อาคารศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ ในกรุงโซล

สำหรับการสอบสวนอดีตผู้นำเกาหลีใต้รายนี้ ย้อนหลังไปตั้งแต่ช่วงเวลาหาเสียงเลือกตั้ง เมื่อปี 2550 ซึ่งคู่แข่งทางการเมืองในเวลานั้นคือ ปาร์ค กึน-เฮ จึงมีหลายครั้งหลายครา ที่มีการเปรียบเทียบกรณีของทั้งคู่ว่า “ราวกับเรื่องตลกร้าย” เนื่องจากอี มยอง-บัก และพัก กึน-ฮเย รับตำแหน่งต่อกัน และส่วนหนึ่งของเงินที่พนักงานสอบสวนกล่าวหาว่า อี มยอง-บัก ได้รับมาโดยมิชอบนั้น มาจากซัมซุงเช่นกัน

ทั้งนี้ ศาลฎีกาของเกาหลีใต้มีคำพิพากษา เมื่อปี 2563 ยืนบทลงโทษจำคุก 17 ปี ของอี มยอง-บัก อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ให้อภัยโทษแก่อดีตผู้นำเกาหลีใต้รายนี้ เมื่อปี 2565

ย้อนกลับไประหว่างปี 2546-2551 เกาหลีใต้อยู่ภายใต้การบริหารโดยรัฐบาลของประธานาธิบดีโน มู-ฮยอน เมื่อหมดอำนาจ เจ้าตัวตกเป็นเป้าหมายของการสืบสวนสอบสวนครั้งใหญ่ เกี่ยวกับการรับสินบนและฉ้อโกง “เป็นวงกว้าง” โดยมีมูลค่าราว 1,500 ล้านวอน ( ราว 35 ล้านบาท )

แม้ต่อมาผลการสอบสวนในเวลาต่อมา ยืนยันว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นการกู้ยืม ระหว่างอดีตผู้นำเกาหลีใต้กับนักธุรกิจคนหนึ่ง ซึ่งมีการทำสัญญาอย่างชัดเจน ที่ระบุการชำระคืนพร้อมดอกเบี้ย และเงื่อนไขอื่นตามกฎหมาย ส่งผลให้โน มู-ฮยอน พ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม การยังคงต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างต่อเนื่อง หลังอัยการสอบสวนต่อ เรื่องการรับเงินของภรรยา และบุคคลใกล้ชิดอีกหลายคน แม้เจ้าตัวได้รับชัยชนะทางการเมือง จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับรองมติถอดถอนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจสร้างแรงกดดันให้แก่โน มู-ฮยอน อย่างมาก ส่งผลให้อดีตผู้นำเกาหลีใต้กระทำอัตวินิบาตกรรม ด้วยการกระโดดลงจากหน้าผา เมื่อปี 2552 รวมอายุได้ 62 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2522 พล.อ. ชอน ดู-ฮวาน ก่อรัฐประหารโค่นอำนาจ รัฐบาลพลเรือนของประธานาธิบดี ชเว คยู-ฮา ซึ่งนำไปสู่การกวาดล้างทางการเมืองครั้งใหญ่ทั่วประเทศ และพล.อ. ชอน ดู-ฮวาน สถาปนาตัวเองเป็นประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ เมื่อปี 2523 โดยหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น คือการปราบปรามผู้ประท้วงที่เมืองกวางจู ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 160 ราย จนถึงมากกว่า 200 ราย หากรวมจำนวนผู้ที่ยังสูญหายจนถึงปัจจุบันด้วย

ทั้งนี้ ชาวเกาหลีใต้ในเวลานั้นยังไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงได้ ขณะที่คณะกรรมการซึ่งมีสิทธิออกเสียงล้วนเป็นเครือข่าย หรือบุคคลในแวดวงเดียวกันผู้นำทางการเมืองในเวลานั้น จึงเป็นเรื่องยากมาก ที่ผู้นำประเทศในยุคนั้นจะร่วงลงจากอำนาจเอง

ต่อมาในปี 2530 ชาวเกาหลีใต้เดินขบวนครั้งใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อเรียกร้องสิทธิในการเลือกตั้งโดยตรง บรรยากาศทั่วประเทศเป็นไปอย่างตึงเครียด และทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อนายปาร์ค จอง-ชอล หนึ่งในแกนนำผู้ประท้วงนักศึกษา เสียชีวิตระหว่างถูกจับกุม ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของหลายฝ่าย ว่าภาครัฐปกปิดและบิดเบือน “สาเหตุแท้จริง” ที่ทำให้นักศึกษาหนุ่มต้องเสียชีวิต

สถานการณ์ประท้วงอย่างตึงเครียดดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง จนกระทั่งรัฐบาลทหารของพล.อ. ชอน ดู-ฮวาน สยอมรับข้อเรียกร้องของประชาชนในที่สุด โดยให้คำมั่นเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง และการปล่อยตัวนักการเมืองฝ่ายค้านคนสำคัญในเวลานั้น คือนายคิม แด-จุง ที่ต่อมาก้าวขึ้นสู่การเป็นประธานาธิบดีของเกาหลีใต้

นายฮัน ด็อก-ซู รักษาการประธานาธิบดีเกาหลีใต้

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งแรกหลังยุคของพล.อ. ชอน ดู-ฮวาน ผู้ชนะคือ พล.อ.โน แท-อู ซึ่งเป็นเพื่อนของพล.อ. ชอน ดู-ฮวาน และมีบทบาทสำคัญกับการรัฐประหาร เมื่อปี 2522 โดยชัยชนะของพล.อ.โน แท-อู เกิดขึ้นเนื่องจากผู้สมัครอีกสองคน คือ คิม แด-จุง และนายคิม ยอง-ซัม ซึ่งในทางการเมืองถือเป็นขั้วเดียวกัน ลงสมัครตัดคะแนนกันเอง

กระนั้น เมื่อหมดอำนาจ อดีตผู้นำเกาหลีใต้ที่เป็นทหารทั้งสองนาย เผชิญกับข้อหากบฏ เมื่อปี 2539 ศาลพิพากษาให้พล.อ.โน แท-อู รับโทษจำคุกเป็นเวลา 17 ปี และพล.อ. ชอน ดู-ฮวาน ได้รับโทษประหารชีวิต แต่ต่อมาศาลพิพากษาลดโทษ เหลือให้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งผิดจากความคาดหมายของหลายฝ่ายพอสมควร เนื่องจากพล.อ.ชอน ถือเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร

อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีคิม ยอง-ซัม อภัยโทษให้แก่พล.อ. ชอน ดู-ฮวาน สและพล.อ.โน แท-อู เมื่อปี 2540 และทั้งคู่เข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี ของคิม แด-จุง เมื่อปี 2541

กลับมาที่กรณีของผู้นำเกาหลีใต้คนปัจจุบัน ในกรณีที่ยุน ซอก-ยอล ต้องพ้นจากตำแหน่ง จะถือเป็นประธานาธิบดีคนที่สองในประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้ ต่อจากพัก กึน-ฮเย ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง แต่ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ด้วยกระบวนการขับออกของฝ่ายนิติบัญญัติ และรับรองโดยฝ่ายตุลาการ

ประวัติศาสตร์การเมืองของเกาหลีใต้วนเวียนเช่นนี้มาแล้วหลายครั้งหลายครา อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้หลายคนมีชีวิตหลังหมดอำนาจที่ไม่สวยหรู ไม่มีโครงสร้างอำนาจบริหารแบบใดที่สมบูรณ์แบบ การมีธรรมาภิบาลของกนักการเมือง ต้องอยู่ที่จิตสำนึกของความซื่อสัตย์ และความจริงใจต่อประชาชนเท่านั้น ซึ่งสำคัญอย่างยิ่ง.

ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป

เครดิตภาพ : AFP