ยังไม่มีเสียงตอบรับ!! จากฝั่งรัฐบาล ว่าจะเดินหน้าแก้ “เกม” อย่างไร หลังบรรดาชาวสิงห์รถบรรทุกขู่หยุดวิ่ง พร้อมเตรียมแผนปิดถนนประชดราคา “น้ำมันแพง” รับวัน “เปิดประเทศ”

แม้ต้อง ปรับแผน” รวมตัวกันบ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายห้ามชุมนุม แต่การ “รวมพลัง” เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือยังคงมีอยู่

ฟากฝั่งรัฐบาลเองยังยืนกราน ว่าสามารถตรึงราคาดีเซลให้ไม่เกินลิตรละ 30 บาท เท่านั้น เช่นเดียวกับกระทรวงการคลังที่ออกมาแจงสารพัดว่าใช้วิธี “ลดภาษีสรรพสามิต” ไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจะกระเทือนไปถึงภาระงบประมาณ

วิธีที่ดีที่สุดในเวลานี้ต้องใช้กลไกจากเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เข้ามาดูแลเท่านั้น เพื่อไม่ให้กระเทือนต่อฐานะการเงินของประเทศ

เพราะ!!!เพียงแค่พิษของโควิดที่เกิดขึ้น ก็หนักหนาสาหัส ที่ทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลก็ต่ำกว่าเป้าหมายกว่า 3 แสนล้านบาท เข้าไปแล้ว

หากมาลดภาษีตามคำเรียกร้องของสิงห์รถบรรทุก เข้าให้อีกมีหวัง “เจ๊งกับเจ๊ง” เพราะทุก ๆ 1 บาทที่ลดภาษีดีเซลลง เท่ากับว่ารายได้ของประเทศจะหายไปทันทีเดือนละ 1,700 ล้าน หรือปีละ กว่า 2 หมื่นล้านบาท

ถามว่า? สารพัดข้อมูล สารพัดตัวเลข ที่ชี้แจงกันออกมาครั้งนี้ ประชาชนคนไทย “สนใจ” หรือไม่? ตอบได้เลยว่า ไม่มีใครสนใจกันหรอก

แต่ที่ชาวบ้านชาวช่องเค้าสนใจ คือ “ของแพง” จะทำอย่างไร? เพราะเวลานี้ไม่ใช่เพียงแค่น้ำมันแพงเท่านั้น ที่มีผลต่อต้นทุน แต่ปัญหาน้ำท่วมก็ส่งผลเข้าให้แล้ว โดยเฉพาะ สารพัดผัก ที่พาเหรดปรับขึ้นราคากันเป็นแถว ต่อเนื่องกันมาเลยทีเดียวจากเทศกาลกินเจ

พ่อบ้านแม่บ้าน ไปจ่ายตลาดทีบ่นกันอุบ ผักกำละ 10 บาท มีไม่กี่ต้น อย่างผักชี จาก กก.ละ 80 บาท เวลานี้บางตลาดปาเข้าไปถึงกก.ละ 300-400 บาทแล้ว

หรือจะเป็นผักอื่น ๆ อย่างต้นหอมปาเข้าไป กก.ละ 120 บาท ผักกาดหอม 130 บาท ผักกาดขาว 70 บาท กะหล่ำปลี 40 บาท หรือแม้แต่มะนาวจากที่ก่อนหน้านี้ราคาตกหนักมากเหลือ กก.ละ 10 บาท 20 บาท แต่ตอนนี้ลูกละ 6 บาท

หากบรรดาสิงห์รถบรรทุก “หยุดเดินรถ” หรือลดปริมาณรถ ลดเที่ยวรถ ทำให้ขนส่งได้น้อยลง จะยิ่งกลายเป็นปัจจัยทับถมกดดันต่อราคาสินค้าอีกหรือเปล่า?

นี่!!ต่างหาก ที่ชาวบ้านต้องการคำตอบ เพราะผลที่เกิดขึ้นมันส่งผลกระทบต่อปากท้อง ต่อเงินในกระเป๋า ทุกวันนี้เศรษฐกิจยังยักแย่ยักยัน หากเจอปัญหา “ของแพง” เข้าให้อีก ยิ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตให้หนักหนาสาหัส

ที่สำคัญ แนวโน้มราคาน้ำมันยังแพงขึ้นต่อเนื่อง โดยมีโอกาสไต่ขึ้นไปแตะที่ 90-100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในครึ่งปีแรกของปีหน้า ด้วยซ้ำไป!!

แล้วแนวทางแก้ไขปัญหาจะเป็นอย่างไร? อย่าลืมว่าเมื่อสินค้าขึ้นราคาไปแล้ว ก็แทบไม่เคยเห็นว่าสินค้าจะปรับลดราคาลง ต่อให้ราคาน้ำมันลดลงก็เถอะ

ไม่เช่นนั้น!! เราคงไม่ต้องกินข้าวแกง กินก๋วยเตี๋ยว จานละ 40 บาท 50 บาท เหมือนในเวลานี้แน่นอน!!

ถามว่า? แล้วเวลานี้ต้องทำอย่างไร หรือว่าต้อง “ทำใจ” เหมือนที่ผ่าน ๆ มา หรือต้องก้มหน้ารับกรรมต่อไป อย่าลืมว่าตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า มีสินค้าและบริการขึ้นราคาไปแล้ว 204 รายการ

อย่างน้ำมันปาล์ม 1 ลิตร ก็ปาไปที่ 47.03 บาท สูงกว่าปีก่อน 11.11 บาท แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 30.43 บาท เพิ่มขึ้น 8.07 บาท

โดยมีสินค้า 157 รายการ ที่ปรับลดลงบ้าง อย่างหมูสันนอก ก็ลดลง กก.ละ 8.83 บาท ข้าวสาร ลดลง กก.ละ 4.90 บาท และมี 69 รายการที่ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างค่ารถโดยสารประจำทาง ค่าบริการโทรศัพท์มือถือ

แม้กระทรวงพาณิชย์จะบอกว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกระทบต่อต้นทุนของสินค้าเพียงเล็กน้อยแค่ 0.0007-0.3733% หรือไม่ถึง 1% ถือว่าน้อยมาก ๆ และยังไม่มีผู้ผลิตสินค้ารายใดขอปรับขึ้นราคาก็ตาม

ก็เอาเถอะ!! ต้องรอดูกันต่อไปว่าทั้งหลายทั้งปวง ภาครัฐจะเดินเกมอย่างไรต่อไป แต่อย่าลืมว่า!! ที่ผ่านมา “ราคาน้ำมันแพง” ก็ส่งผลต่อเก้าอี้รัฐบาลมาแล้วเช่นกัน!!

……………………………………….

คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน

โดย “ช่อชมพู”