สำหรับวงการฟุตบอลในแดนผู้ดีแล้ว เป็นที่รู้กันดีว่า ช่วงเวลาคริสต์มาสยาวไปจนถึงช่วงปีใหม่ คือช่วงเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีลีกอื่นในยุโรปจะเสมอเหมือน

และเชื่อว่าคงไม่มีลีกไหนอยากเหมือน เพราะในขณะที่นักเตะลีกอื่นเขาไปฉลองช่วงเทศกาลกับครอบครัว แต่นักเตะในอังกฤษ กลับต้องมาวิ่งไล่หวดลูกหนังท่ามกลางสภาพอากาศหนาวมหาโหดกันโครม ๆ ถึง 4 เกมในรอบ 12-14 วัน

เอาเข้าจริงหากพลิกดูประวัติศาสตร์ ฟุตบอลอังกฤษยุคโบราณโหดกว่าทุกวันนี้ด้วยซ้ำ เมื่อก่อนจะมีเกมลงเตะในวันคริสต์มาส ต่อเนื่องด้วยวันบ็อกซิง เดย์ หมายความว่าทีมส่วนใหญ่ต้องลงสนาม 2 วันติดต่อกัน และต้องลงเตะ 3 เกมในรอบ 4 วัน ก่อนจะเปลี่ยนมาเล่นกันเฉพาะในวันบ็อกซิง เดย์ ตั้งแต่ปี 1966 เป็นต้นมา

เสียงเรียกร้องให้ลีกอังกฤษ มีช่วงเบรกหนีหนาวนั้นมีมานานนมกาเล แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจง้างความเป็นสุดยอดแห่งอนุรักษ์นิยมของวงการลูกหนังแดนผู้ดีได้

นอกเหนือจากนั้น ช่วงเวลาสั้น ๆ ตรงนี้ ยังมักจะถูกมองว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญของซีซั่น ทีมไหนที่โกยแต้มได้มากจากที่มีให้เก็บเกี่ยว 12 แต้มจาก 4 นัดในช่วงนี้ มักจะลงเอยด้วยผลงานที่ดีในท้ายที่สุด

ที่ผ่านมามันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ? จะหาคำตอบได้ก็คงต้องเอาตัวเลขมากางดูกัน ว่ากันเป็นเรื่อง ๆ ไปเลย…

ตามสถิติแล้ว ทีมที่นำเป็นจ่าฝูงก่อนเข้าสู่ช่วงคริสต์มาสนั้น 54 เปอร์เซ็นต์จะก้าวไปถึงดวงดาวด้วยการเป็นแชมป์ในบั้นปลาย

ขณะที่ทีมที่เป็นแชมป์ในแต่ละซีซั่นนั้น จะเก็บแต้มเฉลี่ยอยู่ที่ 8.6 แต้มจาก 12 คะแนนที่มีให้เก็บ ส่วนทีมที่เป็นรองแชมป์ เก็บแต้มเฉลี่ยช่วงนี้ได้ 7.4 คะแนน

ระยะห่าง 1 แต้มกว่า ๆ ตรงนี้เพียงพอที่จะตัดสินแชมป์ในบั้นปลายหรือไม่…?

ส่วนทีมที่เป็นรองจ่าฝูงก่อนเข้าช่วงคริสต์มาสนั้น มีแค่ 19 เปอร์เซ็นต์ที่แซงเป็นแชมป์ในท้ายที่สุด ซึ่งฟังแล้ว สาวก “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล อาจสะดุ้งนิด ๆ

และพูดถึง ลิเวอร์พูล มีอีกสถิติที่พวกเขาฟังแล้วอาจใจฝ่อ เพราะพวกเขาคือทีมที่เป็นจ่าฝูงในช่วงก่อนคริสต์มาสที่เก็บเกี่ยวความสำเร็จในบั้นปลายได้น้อยที่สุด โดยในยุคพรีเมียร์ลีก พวกเขาเป็นจ่าฝูงก่อนเข้าช่วงคริสต์มาส 5 ครั้ง แต่ก้าวไปเป็นแชมป์ได้แค่ครั้งเดียว นั่นคือในซีซั่น 2019-20 ซึ่งฤดูกาลนั้นพวกเขาเก็ยได้ถึง 9 คะแนนจาก 12 นัด ถือว่าเกินค่าเฉลี่ย

ส่วนทีมจ่าฝูงในช่วงก่อนคริสต์มาสที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือ เชลซี โดยพวกเขาเป็นจ่าฝูงก่อนเข้าช่วงคริสต์มาส 6 ครั้ง และก้าวไปเป็นแชมป์ในท้ายที่สุดได้ 5 ครั้ง

เอาแค่คร่าว ๆ เท่านี้ก็อาจจะบ่งบอกอะไรบางอย่างได้ถึงทิศทางของช่วงที่เหลือซีซั่นนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย

แล้วเรามารอดูกันเมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ว่าฤดูกาลนี้มันจะเป็นไปตามสถิติพวกนี้หรือไม่…

ผยองเดช