นี่คือภาพยนตร์ที่เล่าถึงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อช่วงหนึ่งของ “เลดี้ไดอาน่า” เจ้าหญิงแห่งเวลส์ที่โด่งดังที่สุดแห่งราชวงศ์สหราชอาณาจักร

ก่อนหน้าที่จะได้ชม ก็นึกสงสัยว่าทำไมหนังต้องตั้งชื่อว่า “Spencer” (สเปนเซอร์) แต่เมื่อได้ชมจนจบก็เข้าใจในทันที สเปนเซอร์ คือนามสกุลเดิมของเลดี้ไดอาน่า และในหนังเราจะได้เห็นถึงความถวิลหาการอยากกลับไปเป็นหญิงสาวธรรมดาที่เคยชื่อว่า ไดอาน่า สเปนเซอร์ นั่นเอง

Spencer เล่าถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสในปี 1991 ที่เลดี้ไดอาน่าต้องเดินทางมาร่วมเฉลิมฉลองกับเหล่าสมาชิกราชวงศ์คนอื่น ๆ ที่พระตำหนักแซนดริงแฮม แต่เทศกาลแห่งความสุขปีนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะความเจ็บปวดรวดร้าวที่เกิดขึ้นกับเจ้าหญิงไดอาน่า จากหลาย ๆ ปัจจัยมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื้อรังในราชวงศ์ โดยเฉพาะเรื่องราวความรักที่เกิดรอยร้าวขึ้นกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ซึ่งสร้างความทรมานทางด้านจิตใจให้กับเลดี้ไดอาน่าอย่างมาก

หนังเรื่องนี้จะพาเราลงลึกไปสำรวจก้นบึ้งของจิตใจเจ้าหญิงที่โด่งดังที่สุดในโลก ความทรมาน เจ็บปวดแสนสาหัสราวกับตกนรกทั้งเป็น จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ รวมถึงความผูกพันระหว่างแม่ลูก เลดี้ไดอาน่า กับ เจ้าชายวิลเลี่ยม และเจ้าชายแฮร์รี่ การบอกเล่าเรื่องราวที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับเลดี้ไดอาน่า และราชวงศ์สหราชอาณาจักร การต้องยอมสูญเสียสิ่งสำคัญหลาย ๆ สิ่ง รวมทั้งอิสรภาพและเสรีภาพส่วนบุคคล เพื่อประเพณี หรือเพื่อประเทศชาติแบบที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์บอกกับเจ้าหญิงไดอาน่า มันทรมานทรกรรมขนาดไหน

และคนที่มารับบทเลดี้ไดอาน่าครั้งนี้ ก็คือ “คริสเตน สจ๊วร์ต” ดาราสาวสวยที่โด่งดังมาจากแฟรนไชส์ “ทไวไลท์” นี่คืออีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่เธอได้รับ และอาจพาเธอก้าวไปไกลกว่าเดิมในอาชีพนักแสดง คริสเตน ทุ่มเทให้กับการรับบทเลดี้ไดอาน่าเป็นอย่างมาก เธอใช้เวลาถึง 6 เดือนเพื่อฝึกพูดสำเนียงอังกฤษชั้นสูงให้เหมือนกับเจ้าหญิงแห่งเวลส์มากที่สุด จนได้รับคำชมจากผู้ใกล้ชิดเจ้าหญิงว่า เหมือนเป๊ะ!! การแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้ก็ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมากว่า เฉียบคม เด็ดขาด น่าประทับใจ และอาจพาเธอไปถึงฝั่งฝันกับการคว้ารางวัลออสการ์ก็เป็นได้

ในส่วนของการแปลงโฉมเป็นเจ้าหญิง อาจจะไม่ได้เหมือนมากจนน่าตกใจ แค่มีความคล้าย ๆ แต่ความสวยของ คริสเตน ในหนัง Spencer ต้องบอกว่า สวยมาก ๆ สวยแทบทุกฉากทุกซีนที่เธอปรากฏบนจอ ซึ่งเธอก็อยู่บนจอแทบจะทั้งเรื่อง แค่วิกผมที่ คริสเตน ต้องใส่ ก็ถูกทำขึ้นมาในราคาประมาณ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 196,500 บาท) ขณะที่ชุดทุกชุดของเลดี้ไดอาน่า ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นแฟชั่นไอคอนของศตวรรษที่ 20 ทีมงานทำออกมาได้อย่างประณีตบรรจง ทุกชุดของเจ้าหญิงในหนังเรื่องนี้สวยสดงดงามมาก โดยเฉพาะชุดกระโปรงชาแนล ที่มีการปักลวดลายสีทองบนกระโปรง ใช้เวลาทำยาวนานกว่า 1,034 ชั่วโมง แค่ปักอย่างเดียวก็ใช้เวลาราว 700 ชั่วโมง โดยช่างฝีมือ 5 คน งานตรงจุดนี้ต้องยกนิ้วโป้งกดไลค์ให้กับ “แจ็คเกอรีน ดูร์แรน” ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายดีกรีรางวัลออสการ์จากหนัง Little Women ซึ่งเธอมีลุ้นคว้าออสการ์ตัวที่ 2 สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมจากหนังเรื่องนี้

ด้านงานภาพต้องบอกว่าสวยงามราวกับงานศิลปะแทบทุกฉาก ต้องชื่นชมผู้กำกับชาวชิลี “ปาโบล ลาร์แรง” และผู้กำกับภาพหญิงชาวฝรั่งเศส “แคลร์ มาตง” เป็นอย่างมาก

ทางเพลงประกอบที่ประพันธ์โดย “จอห์นนี่ กรีนวู้ด” มือกีต้าร์และมือคีย์บอร์ดวงเรดิโอเฮด ก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน การใช้ดนตรีแนวบาโรกออเครสต้า (Baroque orchestra) สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าหญิงไดอาน่าไปสูุ่ผู้ชมได้เป็นอย่างดี มันทั้งงดงาม แต่ก็อึดอัด และแฝงไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว

บทพูดโดยฝีมือนักเขียนบท “สตีเว่น ไนท์” ก็มีความลุ่มลึก เข้าถึงจิตใจของเลดี้ไดอาน่าได้อย่างน่าทึ่ง แถมยังจิกกัดราชวงศ์อังกฤษได้อย่างเจ็บแสบ

แม้จะมีข้อดีและมีความน่าสนใจมากมายสำหรับ Spencer แต่นี่ไม่ใช่หนังที่เหมาะกับทุกคน เพราะหนังไม่มีความอะลุ่มอล่วยใด ๆ ให้กับผู้ชม ทีมผู้สร้างจัดหนักจัดเต็มใส่ผู้ชมแทบตลอดทั้งเรื่อง คนดูจะรู้สึกถึงความอึดอัดแบบเต็มพิกัดชนิดที่บางคนอาจทนไม่ไหวจนคิดอยากจะเดินหนีออกไปจากโรงเลยทีเดียว

นี่คือหนังที่ควรศึกษาหาข้อมูลมาก่อนเข้าโรงไปชม หรือใครที่ได้อ่านบทรีวิวนี้แล้ว คุณแกร่งกล้าพอจะเข้าชมหนังเรื่องนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง มันคือความอึดอัดแต่งดงามอย่างที่สุด เจ็บปวดแต่ก็สวยงาม และน่าสนใจที่สุด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความอดทนระดับหนึ่ง.

วุฒิ พิศาลจำเริญ