เกมนัดชิงชนะเลิศ “คาราบาว คัพ” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คอบอลคนไหนไม่ได้ดูบอกได้คำเดียวว่าเสียดายสุด ๆ แม้จะไม่ใช่แฟนบอลของทั้ง 2 ทีมก็เถอะ…!

กระแสก่อนเกมรอบชิงปีนี้ถือว่าน่าสนใจกว่ารอบชิงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา เพราะเป็นการโคจรมาเจอกันของ 2 ทีมใหญ่อย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “สิงห์สำอาง” เชลซี แถมเป็นช่วงฟอร์มดีของทั้ง 2 ทีมด้วย

ก่อนเกม “หงส์แดง” มีเรื่องให้สะดุ้ง เมื่อ ติอาโก อัลคันทารา เจ็บตอนวอร์มอัพ ต้องใช้ นาบี เกอิตา ลงมาเล่นแทน ส่วนที่เหลือเป็นไปตามคาด ข้างหน้ายังเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซาดิโอ มาเน และ หลุยส์ ดิอาซ ขณะที่นายทวารเป็นโอกาสของ ควีมินห์ เคลเลเฮอร์ มือกาววัย 23 ปีตามที่ เจอร์เกน คลอปป์ บอกไว้ หลังเจ้าตัวได้โอกาสลงเล่นในถ้วยนี้มาตลอด

ส่วน เชลซี โรเมลู ลูกากู นั่งสำรองตามคาด โดย โธมัส ทูเคิล เลือกใช้ เมสัน เมาท์ ที่หายเจ็บกลับมาพอดี ประสานงานกับ คริสเตียน พูลิซิช และ ไค ฮาร์แวร์ตซ์ ขณะที่ในตำแหน่งนายทวารนั้น กุนซือชาวเยอรมันเลือก เอดูอาร์ เมนดี ก่อน เกปา อาร์ริซาบาลากา ที่ได้เล่นมาตลอดในถ้วยนี้

เริ่มเกมครึ่งแรก การขาดหายไปของ ติอาโก ส่งผลชัดเจน ความ “สมูท” ในแผงมิดฟิลด์หายไป และโดน เชลซี กดใส่อยู่เกือบ 20 นาที แต่พอตั้งหลักได้ เกมของ “หงส์แดง” ก็เริ่มกลับมาเป็นต่อ แต่กระนั้น ต้องถืทอว่าทั้งคู่ทันกันในแทบทุก ๆ จังหวะ แถมดูไปดูมา เกมรุกในพื้นที่สุดท้ายของ “สิงห์สำอาง” ดูจะมีจังหวะได้ลุ้นที่ชัดเจนกว่าด้วยซ้ำ และน่าได้ประตูจากโอกาสของทั้ง พูลิซิช และ เมสัน เมาท์ ขณะที่โอกาสใกล้เคียงที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในครึ่งแรก น่าจะเป็นจังหวะที่ เอดูอาร์ เมนดี ออกแรงเซฟลูกยิงของ เกอิตา ก่อนจะลุกขึ้นมาปัดลูกซ้ำจ่อ ๆ ของ มาเน ออกไปอย่างเหลือเชื่อนั่นแหละ

เปิดครึ่งหลังมา เชลซี ออกตัวเหมือนครึ่งแรก คือบดใส่ “หงส์แดง” ก่อน แต่พอทำไม่ได้ก็เริ่มลงไปแพคแล้วรอสวน แต่ที่ทำให้เกมนี้เข้มข้นระดับ 5 ดาว คือการที่ทั้งคู่ต่างมีโอกาสน็อคคู่แข่งแบบจะ ๆ หลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลัง ทั้งโอกาสของ เชลซี ที่ เมาท์ หลุดเดี่ยวแต่ดันยิงไปชนเสา ขณะที่ ลิเวอร์พูล เองก็มีโอกาสเพียบ แต่ไม่ผ่านมือ เมนดี ที่เกมนี้เหนียวยิ่งกว่ากาวตราช้าง หรือแม้กรัะทั่งจังหวะหลุดเดี่ยวของ ซาลาห์ ที่จิ้มผ่านมือนายทวารทีมชาติเซเนกัลไปได้แล้ว ก็ยังถูก ติอาโก ซิลวา ตามมาเตะทิ้งจากเส้นเสียอีก

แน่นอนว่าจุดที่หลายคนพูดถึง คือลูกโหม่งของ โฌแอล มาทิป ที่ตุงตาข่ายแต่โดน วีเออาร์ ยึดคืน หลัง สจ๊วร์ต แอตเวลล์ ผู้ตัดสินในเกมนี้ ไปดูจอแล้วฟันธงว่า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ มีส่วนไปตั๊น รีซ เจมส์ ทำให้เข้าไม่ถึงตัว มาเน ที่โหม่งตั้งไปให้ มาทิป แทปอินที่เสาสอง เหตุการณ์จึงกลายเป็นปราการหลังทีมชาติฮอลแลนด์ล้ำหน้า เพราะดันไปมีส่วนกับการเล่น และนำมาซึ่งการได้ประตู

ถ้าจำกันได้ เป็นกรณีเหมือนกับที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ประตูในเกมลีกกับ เบิร์นลีย์ เนื่องจาก แฮร์รี แมกไกวร์ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า ไปสกรีนใส่กองหลังคู่แข่งก่อนที่ ราฟาแอล วาราน จะโหม่งตุงตาข่ายนั่นเอง

สุดท้ายจบ 90 นาที ไม่มีประตูเกิดขึ้น ซึ่งเป็นสกอร์ที่เหลือเชื่ออยู่ไม่น้อย เมื่อดูจากรูปเกมที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีโอกาสมากมายที่จะปิดบัญชีในช่วงเวลาปกติ แต่กลับต้องไปสู้กันต่ออีก 30 นาทีในช่วงต่อเวลาพิเศษเฉย

ถึงช่วงต่อเวลา ดีกรีความเข้มข้นอาจลดทอนลงมาเล็กน้อย ด้วยพละกำลังที่ถดถอย รวมถึงความกดดันที่ต่างฝ่ายต่างไม่อยากมาพลาดในช่วงเวลาแบบนี้ กระนั้น โอกาสยิงของทั้ง 2 ทีมก็ยังมีมาให้เห็นกันเป็นระลอก โดยเฉพาะ ลูกากู ที่ลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลังนั้น มีโอกาสซัดตุงตาข่าย แต่โดนวีเออาร์ตีเส้นล้ำหน้าไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปด รวมถึงลูกตวัดยิงเผาขนของเขาในนาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลา ที่ไปติดเท้าของ เคลเลเฮอร์ ไม่อย่างนั้นมีหวัง “เดอะ ค็อป” น้ำตาตกไปแล้ว

สุดท้ายเกมนี้ก็ต้องไปตัดสินกันด้วยการดวลจุุดโทษ โดยที่ ทูเคิล เลือกส่ง เกปา ที่เคยมีผลงานเข้าขั้น “เจ้าพ่อเซฟจุดโทษ” ลงมาทำหน้าที่แทน เมนดี และสุดท้าย มันกลายเป็นจุดที่ชี้ขาดชัยชนะ เมื่อนายทวารชาวสเปน ซัดจุดโทษเหินข้ามคานไปไกล ในช่วงการดวลเป้าแบบซัดเดนเดธ หลังทั้ง 2 ฝ่ายดวลกันยาวนาน ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพลาด ก่อนที่นายทวารจะต้องมาดวลกันเอง และเป็น เคลเลเฮอร์ ที่ยิงเข้าไปก่อนแล้ว

ถามว่า ทูเคิล คิดถูกหรือไม่ที่ส่ง เกปา ลงมาเพื่อเซฟจุดโทษโดยเฉพาะ ถ้าดูผลงานก็คงต้องบอกว่าตัดสินใจผิด กูรูหลายคนก็วิจารณ์ไปในทำนองนั้น แต่ในนาทีที่ต้องตัดสินใจ นายใหญ่ “สิงห์สำอาง” ย่อมคิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดของทีม และที่ผ่านมามันก็เคยมีตัวอย่างมาแล้วตอนที่ หลุยส์ ฟาน กัล ส่ง ทิม ครูล ลงไปเซฟจุดโทษโดยเฉพาะ และช่วยให้ทีมชาติฮอลแลนด์ชนะ คอสตาริกา มาแล้วในฟุตบอลโลก 2014 และถ้าผลมันออกมาเป็นอีกอย่าง เสียงตำหนิย่อมกลายเป็นเสียงชื่นชม

แต่ก็นั่นแหละครับ เมื่อผลออกมาแบบนี้ จะโทษ เกปา ก็คงไม่ได้ ซึ่ง ทูเคิล เองก็บอกในการให้สัมภาษณ์หลังว่าถ้าจะหาคนผิดให้มาโทษที่เขา มือกาวเลือดกระทิงดุไม่เกี่ยว

ขณะที่ ลิเวอร์พูล นั้น แชมป์นี้กว่าจะได้มาถือว่าต้องออกแรงกันอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวกัน ความสำเร็จที่ได้มายากมันย่อมหอมหวานกว่าความสำเร็จทั่วไป

และการได้แชมป์ในเกมรอบชิงที่เข้มข้นระดับ 5 ดาวเช่นนี้ น่าจะเติมเชื้อไฟให้เหล่าขุนพล “หงส์แดง” ในการไล่บี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี เพื่อแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลได้เป็นอย่างดี

//////////////////////////////

สถิติที่น่าสนใจ หลังนัดชิงชนะเลิศคาราบาว คัพ

  • ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์รายการนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2012 และเป็นแชมป์สมัยที่ 9 มากที่สุดในเกาะอังกฤษ รองลงมาเป็น แมนฯ ซิตี 8 ครั้ง ขณะที่ แอสตัน วิลลา, เชลซี และแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ไปทีมละ 8 ครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นการได้แชมป์ด้วยการชนะจุโทนในรอบชิงเป็นครั้งที่ 3 ต่อจากปี 2001 และ 2012
  • นี่เป็นครั้งแรกที่ 2 ทีมในรอบชิงชนะเลิศ มีกุนซือที่มาจากชาติเดียวกัน นับตั้งแต่ปี 2012 ซึ่ง เคนนี ดัลกลิช คุม ลิเวอร์พูล ดวลกับ คาร์ดิฟฟ์ ซึ่งมี มัลกี แม็คคาย เป็นกุนซือ โดยที่ทั้งคู่เป็นชาวสกอตแลนด์
  • ผลการดวลจุดโทษที่ ลิเวอร์พูล ชนะ 11-10 เป็นสกอร์ในการดวลจุดโทษที่มากที่สุดของการเจอกันระหว่าง 2 ทีมจากลีกสูงสุดแดนผู้ดี
  • เจอร์เกน คลอปป์ คว้าถ้วยแชมป์รายการระดับเมเจอร์เป็นใบที่ 10 ในอาชีพการเป็นกุนซือ โดยก่อนหน้านี้ได้แชมป์กับ โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ 5 รายการ (บุนเดสลีกา 2 สมัย เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ 2 สมัย และ เดเอฟเบ โพคาล 1 สมัย) และมาได้แชมป์กับ “หงส์แดง” อีก 5 รายการ (พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ และ ลีก คัพ)
  • เจอร์เกร คลอปป์ พา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ได้ทั้ง 4 ครั้งหลังสุดที่ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ไล่มาตั้งแต่ แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018-19, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2019-20, ฟีฟ้า คลัย เวิลด์ คัพ 2019-20 และ คาราบาว คัพ 2021-22
  • จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลายเป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูล คนแรกในประวัติสษสตร์ ที่ได้ชูถ้วยแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีก, แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ และ ลีก คัพ
  • เชลซี แพ้ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยภายในประเทศเป็นครั้งที่ 5 จากการเข้าชิงชนะเลิศ 6 ครั้งหลังสุด