เชื่อว่าก่อนเกมมาแมตช์ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี กับ ลิเวอร์พูล เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แฟนบอลคงคาดหวังเหมือน ๆ กันว่าน่าจะได้เห็นเกมที่สนุกตื่นเต้น และเปี่ยมคุณภาพ

และเมื่อเสียงนกหวัดยาวจบเกมจากลมปากของ แอนโธนี เทย์เลอร์ ดังขึ้น เชื่อว่าคนที่ได้ดูเกมนี้คงไม่ผิดหวัง เพราะนี่คือเกมที่สนุกตื่นเต้น เข้มข้น ระดับ 5 ดาว…!!!

เกมนี้ เจอร์เกน คลอปป์ เลือกใช้นักเตะชุดที่ดีที่สุดที่มีลงสนามกันเต็มอัตราศึก เกมรับใช้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ โฌแอล มาทิป โดยมี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เป็นฟูลแบ๊ก แผงมิดฟิลด์ตัวหลักทั้ง ฟาบินโญ, ติอาโก อัลคันทารา และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ปรากฏกายครบครัน ขณะที่แนวรุก หลายคนลุ้นให้ กุนซือาวเยอรมันส่ง หลุยส์ ดิอาซ เป็นตัวจริง แต่ คลอปป์ ยังเลือก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เล่นร่วมกับ ซาดิโอ มาเน และ ดีโอโก โชตา

เกมครึ่งแรก “หงส์แดง” ออกสตาร์ตดีอยู่ 5 นาที แต่หลังจากนั้น “เรือใบสีฟ้า” ใช้การเพรสซิงตั้งแต่แดนบนจนลูกทีมของ คลอปป์ ที่ปกติเคยแต่เพรสใส่คู่แข่ง เจอเข้าบ้างถึงกับไปไม่เป็น แกะเพรสซิงไม่ออก โดนตัดบอลหน้าบ้านตัวเองหลายจังหวะ พอผิดพลาดติด ๆ กับ ระบบระเบียบเกมรับเลยพาลบิดเบี้ยวไปหมด

ประตูแรกที่เสีย เกิดจากการเล่นฟรีคิกเร็วของ แมนฯ ซิตี และแผงมิดฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล พากันเผลอจนโดน เควิน เดอ บรอยน์ ลากเข้าไปส่องแฉลบ ฟาบินโญ ชนเสาเข้าไป และแม้จะตีเสมอได้เร็วจากจังหวะที่ เทรนต์ ตบกลับมาให้ โขตา ยิงจ่อ ๆ แต่รูปเกมยังคงไม่เปลี้ยน “เรือใบสีฟ้า” ยังคงบีบจนหน้าเขียว และประตูขึ้นนำ 2-1 ของเจ้าถิ่น ก็เกิดจากความผิดหพลาดของ มาทิป ที่ดันขึ้นไม่ทัน จน กาเบรียล เชซุส ไม่ล้ำหน้าแปจ่อ ๆ เข้าไป

นี่คือการลงเป็นตัวจริงในลีกเป็นเกมแรกตั้งแต่เดือนมกราคมของ เชซุส และเจ้าตัวก็ตอบแทนความไว้ไใจของ เปป ด้วยการส่องประตูให้ทีมได้ทันที

เชื่อว่าช่วงพักคครึ่ง คลอปป์ คงเฉ่งปี๋ลูกทีมไปหลายดอก พอออกสตาร์ตครึ่งหลัง ขุนพล “หงส์แดง” วิ่งเข้าใส่นักเตะเจ้าถิ่นเหมือนพยัคฆ์กระหายเหยื่อ เพรสซิงใส่ตั้งแต่แดนบน ชนิดที่ว่าครึ่งแรกโดนมาแบบไหน ครึ่งหลังก็ใช้วิธีเดียวกันใส่ แมนฯ ซิตี แบบดาบนั้นคืนสนอง

และที่สำคัญคือการได้ประตูตีเสมอเร็วตั้งแต่ต้นมือ เมื่อ ซาลาห์ แทงเข้าช่องให้ มาเน ที่ครึ่งแรกเงียบที่สุดในบรรดา 3 ตัวรุกของทีม เอียงตัวแปเข้าไป ตีเสมอเป็น 2-2 แบบที่เจ้าถิ่นแทบจะยังไม่ทันตั้งตัว ฃ

หลังจากสกอร์กลับมาเท่ากันที่ 2-2 เหมือนเป็นการกระตุกให้ทั้ง 2 ทีมระวังตัวกันมากขึ้น แม้จะยังคงเปิดเกมบุกเข้าใส่กัน แต่ก็เป็นการบุกด้วยความระมัดระวังมากขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรก ด้วยความตระหนักว่าเกิดผลีผลามบุกไม่ระวังตัว โดนสวนโป้งเดียวอาจถึงหงายท้อง ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ไม่มีทีมไหนต้องการในเกมที่มีเดิมพันสูงลิบแบบนี้

สุดท้ายการจบด้วยผลเสมอ 2-2 แบ่งกันไปทีมละแต้ม อาจเป็นผลการแข่งขันที่ยุติธรรมแล้ว เมื่อดูจากรูปเกมตลอดทั้ง 90 นาที

ขณะที่สถานการณ์ลุ้นแชมป์หลังเกมนี้ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลน “เรือใบสีฟ้า” ยังคงถือความได้เปรียบนิด ๆ กับยคะแนนที่นำอยู่ 1 แต้ม กับ 7 เกมที่เหลือ แต่มันก็เป็นความได้เปรียบที่หากวัดกันจริง ๆ นาทีนี้ถือว่านำแค่ปลายจมูก

ส่วนกับ ลิเวอร์พูล นั้น ผลเสมอเกมนี้น่าจะไม่ได้มีอะไรเสียหาย เพียงแค่พลาดโอกาสจะแซงขึ้นนำเท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังคงตามหายใจรดต้นคอ แมนฯ ซิตี แบบเกาะติดหลังเหมือนเดิม

แต่หลังจากนี้ไปนี่แหละ จะเป็นช่วงเวลาที่กดดันยิ่งกว่าของทั้ง 2 ทีม เพราะ 7 เกมจากนี้ไป ทั้งคู่มีโอกาสที่จะชนะรวด ดังนั้นทั้งคู่ต้องบอกว่าพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

แค่หลุดเสมอนัดใดนัดหนึ่ง ก็อาจถึงกับน้ำตาตกในท้ายที่สุดได้เลย…

//////////////////////

โปรแกรม 7 เกมสุดท้ายของ 2 ทีมลุ้นแชมป์

ลิเวอร์พูล
19 เม.ย. แมนฯ ยูไนเต็ด (เหย้า)
24 เม.ย. เอฟเวอร์ตัน (เหย้า)
30 เม.ย. นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (เยือน)
7 พ.ค. ทอตแนม ฮอตสเปอร์ (เหย้า)
10 พ.ค. แอสตัน วิลลา (เยือน)
15 พ.ค. เซาแธมป์ตัน (เยือน)
22 พ.ค. วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส (เหย้า)

แมนฯ ซิตี
รอกำหนดวัน วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส (เยือน)
12 เม.ย. ไบรท์ตัน (เหย้า)
23 เม.ย. วัตฟอร์ด (เหย้า)
30 เม.ย. ลีดส์ ยูไนเต็ด (เยือน)
8 พ.ค. นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (เหย้า)
15 พ.ค. เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เยือน)
22 พ.ค. แอสตัน วิลลา (เหย้า)