เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่ อ.เมือง จ.นครราชสีมา นางสุจินดา เชิดชัย นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วมโดยสาร บขส. และเจ้าของอู่เชิดชัย และบริษัทเดินรถเชิดชัยทัวร์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งค่าน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้บริษัทเดินรถของตนเองได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งบริษัทเชิดชัยทัวร์ที่มีรถอยู่กว่า 200 คัน วิ่งทั้งสายภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ ตอนนี้เหลือรถวิ่งอยู่แค่ 20-30% เท่านั้น อีกประมาณ 70% ต้องหยุดวิ่ง จอดรถทิ้งไว้ที่อู่มานานกว่า 2 ปีแล้ว เพราะประสบกับปัญหาขาดทุน เนื่องจากไม่มีผู้โดยสารและค่าน้ำมันที่แพง วิ่งรถไม่คุ้มกับค่าโดยสาร โดยเฉพาะรถที่วิ่งสายยาว กรุงเทพฯ ไปจังหวัดต่างๆ ทั้งภาคอีสาน และภาคเหนือ ตอนนี้หยุดวิ่งเกือบ 100% เหลือเพียงสายสั้น กรุงเทพฯ-นครราชสีมา และจังหวัดภาคตะวันออก เนื่องจากว่าหากนำรถออกวิ่งทุกคันต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันไม่ต่ำกว่าเดือนละ 4 ล้านบาท อีกทั้งค่าแรงคนงาน ค้าจ้างพนักงาน จิปาถะ ที่ต้องจ่ายอีกจำนวนมาก

ซึ่งบริษัทเชิดชัยทัวร์ ประกอบธุรกิจรถร่วมโดยสาร บขส. มานานกว่า 65 ปีแล้ว ช่วงตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นมา เริ่มประสบกับปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง จนกระทั่งมาเจอการระบาดของไวรัสโควิด-19 และค่าน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นขณะนี้ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนัก นอกจากนี้พฤติกรรมของประชาชนก็เริ่มเปลี่ยนไป หลายคนไม่นิยมขึ้นรถโดยสาร บขส.แล้ว หันไปซื้อรถเก๋ง รถกระบะ ขับเองกันหมด ส่วนการเกิดขึ้นของสายการบินโลว์คอสต์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนเลิกขึ้นรถทัวร์ หันไปใช้บริการสายการบินโลว์คอสต์แทนเพราะค่าโดยสารก็ไม่ต่างกันมาก แต่ใช้เวลาเดินทางเร็วกว่า

ตนเองจึงตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกประกอบธุรกิจรถโดยสาร บขส. โดยขายบริษัทเชิดชัยทัวร์ออกไป เพื่อไม่ให้กระทบกับธุรกิจอื่นๆ แม้ว่าจะรู้สึกเสียดาย แต่ในเรื่องธุรกิจหากทำต่อแล้วมีแต่ขาดทุนก็ไม่รู้ว่าจะทำต่อไปทำไม อีกอย่างตอนนี้ลูกๆ ทั้ง 4 คน ก็มีกิจการเป็นของตัวเองหมดแล้ว ทุกคนก็ไม่มีใครอยากสานต่อธุรกิจเดินรถ บขส. เพราะมีแต่ปัญหาและกำไรน้อย ประกอบกับตนเองก็อายุ 85 ปีแล้ว จึงไม่อยากเหนื่อยกับการต้องทนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในบริษัทที่ประสบกับปัญหาขาดทุนอย่างนี้อีกต่อไป จึงอยากวางมือกับธุรกิจรถร่วมโดยสาร บขส. และทุ่มเทเวลาไปให้กับธุรกิจอื่นๆ ที่ยังอยู่ เช่น ธุรกิจต่อตัวถังรถโดยสาร, ธุรกิจขายรถยนต์ และธุรกิจให้เช่าที่ดิน เป็นต้น