เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ที่ศาลาว่าการ กทม. (เสาชิงช้า) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า วันนี้มาทำงานตั้งแต่ตี 4 ไม่เห็นมีนักข่าวมารอเลย และเปลี่ยนที่วิ่งจากสวมลุมพินี มาเป็นเสาชิงช้า วัดพระแก้ว ปากคลองตลาด ซึ่งเป็นมุมที่สวย ไม่เคยวิ่งในเมืองเลย วิ่งไปก็มีความสุขดี

และวันนี้มีกลุ่มคนมายื่นหนังสือร้องเรียน 2 กลุ่ม คือ เครือข่ายคนพิการกับมนุษย์ล้อ ซึ่งรู้จักกันอยู่แล้ว ดีใจที่มาเยี่ยม แต่ได้บอกไปว่าวันหลังไม่ต้องมาเดี๋ยวจะไปหาเองมา เพราะลำบาก โดยจุดประสงค์ที่มาคือ อยากได้หมวกกันน็อกของเด็ก เพราะเด็กหาหมวกกันน็อกใส่ยาก หลังจากรับเรื่องจะพิจารณาอีกทีว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานไหนที่จะช่วยรับผิดชอบ หรือประสานหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลว่าจะจัดให้ได้มากน้อยอย่างไร

ส่วนอีกเครือข่ายเป็นเครือข่ายหาบเร่ เมื่อก่อนอยู่ถนนด้านในรอบตลาดจตุจักรมีประมาณ 94 ราย ถูกบอกเลิกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งอยากกลับมาค้าขายอีก ทั้งนี้ ต้องดูนโยบายภาพรวมของตลาดจตุจักรเป็นอย่างไร ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างไร ส่วนตัวยังไม่ได้รับปากอะไร แต่ถือเป็นความเดือดร้อนของประชาชน และขณะนี้ตลาดจตุจักรถือเป็นตัวสำคัญที่เราจะผลักดัน เนื่องจากตอนนี้ตลาดซบเซาเยอะ ต้องไปดูว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า หลายเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามา เขตก็รับไปทำต่อแก้ไขปัญหา ต่อไปต้องทำให้มีวิธีที่ประชาชนร้องเรียนได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องถึงมือผู้ว่าฯ มีคนรับเรื่องอย่างแท้จริง ซึ่งวันนี้จะมีการโชว์แอพพลิเคชั่นทราฟฟี่ ฟองดูว์ ว่าปัญหาเป็นอย่างไรวิธีแก้ไขอย่างไร ซึ่งเป็นโครงการฯ ตัวอย่างที่จะปรับวิธีการให้บริการของเราดีขึ้น ตอนนี้รับเพิ่มมาแล้วประมาณ 4,000 เรื่อง แต่ปัญหาระบบล่มเพราะมีคนร้องเรียนมาเยอะ

นอกจากนี้จะเชิญบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ เคที เข้ามาคุยเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว เรื่องการทำท่อสายสื่อสารลงดิน และการบริหารจัดการเดินรถประจำทางด่วนพิเศษ BRT อย่างไรก็ตาม นโยบายหลักก็ต้องทำพร้อมๆ กับรายละเอียดที่ต้องแก้ปัญหา หน้าที่ของ กทม.มีเยอะ แต่เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังไม่ทำเรื่องกลยุทธ์ ต้องแก้ที่เส้นเลือดฝอยก่อน

ส่วนประเด็นการหารือและร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน นายชัชชาติ กล่าวว่า จะพูดคุยกันในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ ช่วงบ่าย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน เพราะเราเริ่มต้นใหม่ ต้องสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยมีหน่วยงานภายนอกมาร่วมตั้งแต่เริ่มต้น เพราะหากเราบอกด้วยตัวเองว่าเราโปร่งใส ใครก็ไม่เชื่อ และถ้ามีองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน หรือหน่วยงานมาร่วมสังเกต หรือมีข้อแนะนำ จะทำให้เรามั่นใจเดินได้ดีขึ้น