เมื่อวันที่ 1 ส.ค.เพจเฟซบุ๊กของรพ.สนามธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความว่า วันที่ 1 ส.ค.64 เพจ โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ รายงานสถานการณ์โควิด-19 ความว่า วันเสาร์ที่31ก.ค. วันที่ 112 ของโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ และวันที่51 ของศูนย์รับวัคซีนธรรมศาสตร์รังสิต ผู้ป่วยใหม่รายวัน และผู้เสียชีวิตจากโควิดทำสถิติใหม่ ที่ 18,912 รายและ 178 คนตามลำดับ เราไม่เคยมาที่ตัวเลขระดับนี้มาก่อนเลย แต่ก็คงต้องเตรียมตกใจมากขึ้นกับตัวเลขใหม่วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไปอีกด้วยนะ

คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ริมถนน ในบ้าน หรือทุกๆที่โดยไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลือ ทุกคนหวั่นเกรงการระบาดและกลัวติดเชื้อ ระบบสายด่วนขอความช่วยเหลือทุกเลขหมายทำอะไรให้ผู้ป่วยไม่ได้ เพราะเตียงในโรงพยาบาลก็ล้นเต็ม ER ทุกแห่งมีเตียงผู้ป่วยและถังออกซิเจนระเกะระกะล้นมาอยู่บนทางเท้าหรือที่จอดรถ อย่างนี้ไม่ใช่สถานการณ์สงครามหรอกหรือ⁉️ เราประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินมาเกือบสองปีแล้ว สถานการณ์วันนี้คือฉุกเฉินที่สุดแล้วนะ

ครม.ไปไหน ? บริหารประเทศกันโดย WfH และ วิดีโอคอนเฟอร์เรนซกันทุกวันอังคารบ่ายเหมือนที่เป็นมาทุกๆสัปดาห์อย่างนั้นหรือ มีใครบ้างไหม ที่มีส่วนรับผิดชอบในการกำหนดนโยบายที่ลงไปดูหน้างานในรพ.ที่อยู่แค่ปลายจมูกในกทม. ว่าแพทย์และพยาบาลในห้องฉุกเฉินของรพ.ทุกแห่งเขาขาดอะไร เขาต้องการอะไรเพิ่ม ช่วยแก้ปัญหาวันนี้พรุ่งนี้ให้เขาได้ไหม? หรือต้องให้เขียนรายงานเสนอมาตามขั้นตอนในสัปดาห์หน้า เพื่อฝ่ายนโยบายจะได้ทราบในเดือนหน้า แล้วจะได้แก้ปัญหาให้ในปีงบประมาณต่อไป⁉

ความจริง มันไม่ได้เป็นปัญหาของแพทย์พยาบาลหรอก เพราะพวกเขาทำกันจนเต็มที่ ทำกันจนหมดหนทางที่จะทำต่อแล้ว ทำได้แค่นั้นก็คือแค่นั้น ปาดเหงื่อ นั่งพัก แล้วก็หยุดทำ เพราะทำอะไรต่ออีกไม่ได้แล้ว

แต่ที่จะสูญเสียทับถมลงไปเรื่อยๆก็คือชีวิตของผู้คน ผู้คนธรรมดาสามัญที่ไม่มีอะไรสลักสำคัญ แต่เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นญาติสนิทอันเป็นที่รักและมีความหมายต่อครอบครัวของเขา เราจะเพิกเฉย ละเลยต่อการสูญเสียชีวิตของผู้คนมากมายในแต่ละวันอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่นะ ⁉

เราจะร้องขอมากไปหรือเปล่า ที่อยากจะให้นายกรัฐมนตรีตั้งวอร์รูม เรียกประชุมทุกเช้ากับรัฐมนตรีและปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ รับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นใน24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และสั่งการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจนในแต่ละเรื่อง แต่ละปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สั่งลอยๆให้ทุกฝ่ายไปคิดหาวิธีแก้ปัญหามาให้ อย่างที่เคยทำ เรามีนายกรัฐมนตรีไว้เพื่อสั่งการ เพื่อตัดสินใจ และเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติของชาติมิใช่หรือ⁉

ช่างเถอะ ที่เราทำได้ก็เพียงรำพึงรำพันด้วยความทุกข์และคับแค้นใจ แต่อย่างไร พวกเราก็คงต้องทำหน้าที่ของเรา และทำงานหนักเพื่อดูแลผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราต่อไปตามที่เคยเป็นมา และที่จะเป็นต่อไปทุกๆวันไม่มีวันหยุด

วันนี้ที่ยิม 4 เราช่วยให้ภูมิต้านทานเข็มแรก โดย Astra Zenecaแก่ผู้คนที่รอคอยได้เพิ่มอีก 2,680 คน ตัวเลขสะสมของผู้ได้รับ AZ จากเรา เกินกว่า 80,000 คนไปแล้วนะ และที่รพ.สนามธรรมศาสตร์

เรารับผู้ป่วยโควิดรายใหม่เข้ามาดูแลเพิ่มได้อีก 30 คน กับสามารถส่งผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วกลับบ้านได้รวม 45 คน คืนนี้เหลือผู้ป่วยโควิดอยู่กับเราที่นี่ 325 คน

สำหรับที่ศูนย์ Home Isolation ตัวเลขผู้ป่วยเช้านี้มีสะสมรวมกว่า 700 รายแล้ว และในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่ยังแอคทีฟอยู่ในโครงการถึง 450 คน เย็นวันนี้เรามีผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างดำเนินการรับเข้าโครงการอีกราว 70 ราย อีกสักสองสามวัน ตัวเลขผู้ป่วยโควิดที่รับเข้า HI คงมีไม่ตำ่กว่าร้อยคนแน่นอน เราไม่ได้ดีใจกับตัวเลขผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นหรอกนะ แต่เราภูมิใจที่ระบบของเรามีส่วนช่วยดูแลชีวิตของผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือได้มากขึ้นต่างหาก

ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เช้าวันนี้ผลตรวจเชื้อโควิดที่ทำในโรงพยาบาลเมื่อ 24 ชม. ที่ผ่านมาจำนวน 172 คนพบผู้ป่วยติดเชื้อ 29 ราย และเป็นบุคลากรของโรงพยาบาลสองคน หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาล และมีผู้ป่วยโควิดที่เราดูแลอยู่เสียชีวิตไปอีกสองคน

สถานการณ์โดยรวมยังเป็นปกติ เตียงโควิดเหลืองและแดงที่เต็มอยู่ขยับขยายได้น้อยมาก ยกเว้นเตียงเคสเขียวเข้มที่ยังพอมีว่างวันละราวสิบกว่าเตียง จากการรีเฟอร์ผู้ป่วยอาการไม่มากไปดูแลที่รพ สนาม เพื่อจะรับผู้ป่วยใหม่ที่มีผล swab เป็นบวก และเริ่มมีอาการไม่ดีเข้ามาดูแลรักษาแทน

จากวันนี้ไป จนถึงวันใดวันหนึ่งในอีกไม่นานนัก เมื่อผู้ป่วยถึง 18,000 แตะ 20,000 หรือมากกว่านั้น ภาระและความกดดันมหาศาลจะตกอยู่กับแพทย์พยาบาลด่านหน้าในทุกๆโรงพยาบาล ที่จะต้องรับภาระในการช่วยชีวิตผู้ป่วยที่หลั่งไหลเข้ามาจนเต็มล้น และต้องรับความกดดันจากความคาดหวังจากผู้ป่วยและญาติ ในเงื่อนไขการทำงานที่ยากลำบากที่สุด

โดยได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือน้อยมากจากระบบสาธารณสุขที่แทบไม่เหลือพลังจะไปประคับประคองหน่วยใดได้อีก.. มีแต่ใจและความรักในเพื่อนมนุษย์เท่านั้นที่ทำให้ระบบโรงพยาบาลของเรายังยืนอยู่ต่อไปได้