เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานคณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้สอบสวนการกระทำของนายเรืองไกร โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ว่ากระทำผิดข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของ ส.ส.และ กมธ. พ.ศ.2563 หรือไม่ จากกรณีลงเฟซบุ๊กว่าได้รับรถเบนซ์ 2 คัน ขณะดำรงตำแหน่งเป็นโฆษก กมธ.งบประมาณปี 65 และอยู่ระหว่างถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนว่าร่ำรวยผิดปกติ ว่าตนไม่กังวล ตอนที่ กมธ.งบฯ 66 เปิดใหม่ๆ ได้ทำหนังสือถึงนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะประธาน กมธ.งบฯ 66 แต่แรกแล้วว่าตนที่เป็นกรรมาธิการคนนอก ซึ่งไม่ใช่ ส.ส.มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือเจ้าพนักงานหรือไม่ ให้ฝ่ายกฎหมายสภาฯ ชี้แจงให้ฟัง แต่เท่าที่ทราบยังไม่มีการส่งเรื่องออกไป ไม่ทราบว่าอยู่ที่นายอาคมหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ตนทำหนังสือไปถึง 4 ฉบับ และมีการลงเลขรับแล้วด้วย

“เมื่อเกิดเรื่องนี้ก็ต้องนำหนังสือไปประกอบในชั้น กมธ.ก็ดี หรือนายวัชระต้องนำเรื่องนี้มาพิจารณารวมกัน ตรวจสอบผมได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร จะบอกว่าแฟนซื้อรถให้อะไรก็แล้วแต่ ผมซื้อกัน 3 คัน ไม่ใช่ 2 คัน ซึ่งเงินของเราก็ถูกต้องทุกอย่าง แต่ต้องไปหาข้อเท็จจริงให้มันถูกต้อง อยากกล่าวหาก็ไม่เป็นอะไร ไม่ได้คิดว่าคุณวัชระจะมาร้องผมหรอก แต่เมื่อมาร้องก็ไปตรงกับสิ่งที่เราพยายามจะทำให้รอบคอบ เราก็ถามแล้วว่าให้ฝ่ายกฎหมายชี้แจงว่าผมในมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานหรืออะไรหรือไม่ หากมีก็จะได้บอกว่าก็สอบผมมา ยอมให้ถูกตรวจสอบอยู่แล้ว ในสภาฯก็ท้าฝ่ายค้านตลอดว่าถ้าจะสอบผมก็เข้าชื่อร้องไปสิ แต่เงียบไป และมาเกิดเรื่องเมื่อวานนี้ ก็ไม่ได้กังวลอะไร พร้อมให้สอบ แต่ต้องให้ความหมายว่าเราเป็นหน้าที่ของรัฐหรือไม่ เพราะถูกกล่าวหาว่ารับผลประโยชน์เกิน 3,000 บาท”

นายเรืองไกร ยังให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางหลังจากยื่นนายชวนตรวจสอบญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านว่าเถื่อนหรือไม่ จะมีการยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือไม่ (ป.ป.ช.) ว่า จากที่ติดตามข่าวเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ ระบุว่า นายชวนจะส่งหนังสือไปยัง ครม.ซึ่งการส่งหนังสือไปโดยให้หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านทั้ง 7 พรรค เซ็นรับรองลายชื่อตามบัญชีแนบท้าย ต้องดูว่าหนังสือไปถึง ครม.อย่างไร และนายชวนบรรจุวาระอย่างไร หากไปรับรองลายชื่อเดิมให้เป็นลายชื่อของญัตติ 11 คน ตนจะร้องต่อ ป.ป.ช.ต่อ ซึ่งตนถือว่าไม่น่าจะทำได้

เมื่อถามว่า มองว่าญัตติของฝ่ายค้านไม่ถูกต้องด้วยเหตุผลใด นายเรืองไกร กล่าวว่า เพราะเจตนาเดิมของเขา เป็นญัตติที่รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายมี 10 คน ตามคำให้สัมภาษณ์ของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อมาเพิ่มเป็น 11 คน ก็ต้องเซ็นใหม่ตามแนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ให้ไปรับรองว่าที่เซ็นของ 10 คน นำมาใช้สำหรับ 11 คนก็ได้ ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง และหลายคนเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้น ต้องหาแนวทางแต่หากดูตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่น่าจะเป็นญัตติที่ถูกต้อง เพราะเท่ากับญัตติ 11 คนแต่เดิม ไม่มีคนเซ็นมา มีเฉพาะ นพ.ชลน่าน เซ็นมา เพราะการเซ็นชื่อเสนอญัตติต้องอ่านและเซ็นชื่อว่าเห็นด้วย แต่นี่เป็นกรณีที่ให้เขาเซ็นลอย เมื่อนายชวนส่งหนังสือถึง ครม. เพื่อให้กำหนดวันอภิปรายกลับมายังสภาฯ และต้องมีการบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตรงนี้จะเป็นเงื่อนไขที่ต้องให้ ป.ป.ช.เข้ามาตรวจสอบด้วย

เมื่อถามต่อว่า หากญัตติดังกล่าวไม่ถูกต้องจริงจะส่งผลอย่างไรบ้าง นายเรืองไกร กล่าวว่า หากไม่ถูกต้องก็จะเป็นญัตติที่ไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ซึ่งต้องไปวินิจฉัยว่าการใช้ญัตติที่ไม่ชอบเข้าข่ายการจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายหรือไม่ และเป็นความผิดตามมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ ทั้งนี้ สำหรับคนที่เซ็นชื่อไปจะมีผลอะไรหรือไม่นั้น ฝ่ายค้านบางคนก็บอกว่า เขาเป็นผู้เสียหายไม่โต้แย้ง ซึ่งจะบอกว่าผู้ที่เข้าชื่อทั้ง 182 คนนั้น เป็นผู้เสียหายไม่ได้ เพราะคนที่เสียหายเป็นรัฐมนตรีที่ถูกเข้าชื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเขาต้องมาตอบญัตติที่เขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็ต้องมีมุมที่ต้องมองเพื่อความเป็นธรรม

เมื่อถามว่า หากเป็นเช่นนี้สามารถยื่นใหม่ได้หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่เรามีความเห็นไปว่าทำไมไม่ถอน ทำให้ญัตติตกแล้วยื่นใหม่ ซึ่งมีข้อดีกว่าเยอะ แค่พิมพ์ขึ้นมาใหม่ แก้วันที่เท่านั้นเอง ทำไมต้องไปดึงดันให้ต้องเป็นวันที่ 15 มิ.ย.ยื่นใหม่ แก้วันที่ใหม่ เข้าชื่อเข้ามาใหม่ ก็เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์แล้ว ของเดิมมันมีตำหนิ มันไม่บริสุทธิ์ ไม่รู้เพราะศักดิ์ศรีหรือเพราะอะไร ผมไม่เข้าใจ ของมันน่าจะแก้ไขให้มันง่ายขึ้น ไม่ต้องไปผิดแล้วผิดอีก หากไม่ถูกก็ต้องพร้อมให้เขาตรวจสอบ จะมาบอกว่าเรืองไกรหยุดได้แล้วมันไม่ถูกต้อง หากผมหยุดผมก็ทำตามคำร้องขอของฝ่ายค้านก็ไม่ใช่ เพราะเวลานี้ ผมก็ไม่ได้ทำเพื่อเอาใจรัฐบาล เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย” นายเรืองไกร กล่าว