ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ในการประชุมของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กสทช.) เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ประชุมได้มีมติให้ทางสำนักงาน กสทช. ไปดำเนินการกวดขันให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอปเรเตอร์) ทุกรายปฏิบัติตามประกาศ กสทช. เรื่อง การลงทะเบียนและจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งหากใช้บัตรประชาชนใบเดียวลงทะเบียนซิมเป็นจำนวนมากกว่า 5 เลขหมายจะต้องไปแสดงตนที่ศูนย์บริการของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพนำซิมไปใช้ในการหลอกลวงประชาชนให้เกิดความเดือดร้อนและก่อให้เกิดความเสียหายเสียทรัพย์ตามที่ปรากฏเป็นปัญหากว้างขวางในปัจจุบัน

มติดังกล่าวสืบเนื่องจากการที่สำนักงาน กสทช. ได้มีการจัดประชุมและมีหนังสือกำชับให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของ กสทช. เกี่ยวกับการลงทะเบียนซิมการ์ดเป็นระยะ ต่อมาเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการลงทะเบียนซิมการ์ดผ่านตัวแทนจำหน่าย (ลูกตู้) พบว่า พบผู้ใช้บริการ 1 รายสามารถลงทะเบียนเปิดใช้ซิมการ์ดกับตัวแทนจำหน่ายได้มากกว่า 5 เลขหมายเป็นจำนวนสูงมาก จึงได้แจ้งให้ผู้ประกอบการดำเนินการแก้ไขให้เรียบร้อยโดยเร็ว หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่เริ่มเข้าสู่กระบวนการที่จะดำเนินการทางปกครอง กรณีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหรือคำสั่งเกี่ยวกับการอนุญาตและการกำกับดูแลที่มีผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะโดยได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าอัตราค่าปรับน่าจะอยู่ที่ประมาณไม่ต่ำกว่าวันละ 1 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังได้มีการ การประชุมนัดแรกของคณะทำงานพหุภาคีเพื่อแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) หลอกลวง ซึ่งประกอบไปด้วย 11 หน่วยงาน ได้แก่ กสทช. ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ผู้แทนคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผู้แทนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท). ผู้แทนประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ทั้ง 4 ราย ผู้แทนสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้แทนสภาองค์กรของผู้บริโภค

ซึ่งที่ประชุมโดยประธานคณะทำงาน นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ที่ปรึกษาประธาน กสทช. ได้เสนอให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่ 1 (ไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง) และแบบที่ 3 (มีโครงข่ายเป็นของตนเอง) หาวิธีการเพิ่มเครื่องหมาย + นำหน้าทุกสายที่มีโทรฯมาจากต่างประเทศ และเสนอให้เพิ่มช่องทาง USSD ให้ประชาชนสามารถเลือกไม่รับสายโทรฯเข้าจากต่างประเทศตามความสมัครใจ

ขณะเดียวกัน ทางตัวแทนจากสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยฯยังได้เสนอจะพัฒนาแอพพลิเคชั่นในการตรวจสอบและสกรีนเบอร์ที่มีแนวโน้มจะเป็นเบอร์มิจฉาชีพ ในลักษณะเดียวกับ Whoscall เพื่อป้องกันเบอร์ที่น่าสงสัยโทรฯเข้ามารบกวน โดยจะพัฒนาจากแอพพลิเคชั่น “กันกวน” เดิมของ กสทช. และจะเป็นการทำงานร่วมกันของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ ผู้ประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในที่ประชุม ยังเสนอให้ กสทช. เป็นหน่วยงานกลางในการรับลงทะเบียน Sender’s Name สำหรับ เอสเอ็มเอส เหมือนกับประเทศสิงคโปร์ที่มีหน่วยงานกำกับดูแลเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ จะได้ไม่มีการใช้ ชื่อผู้ส่งปลอมมาหลอกลวงผู้รับ

สำหรับการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนเพื่อให้เกิดความระมัดระวังตัวจากกลโกงของมิจฉาชีพ ที่ประชุมเสนอให้มีสำนักงาน กสทช.จัดให้มีการแถลงข่าว หรือออกเป็นข่าวสื่อมวลชนเพื่อให้ข้อมูลกับประชาชนให้รู้เท่าทันกับกลโกงของมิจฉาชีพที่อัพเดทอยู่ตลอดเวลา และให้มีการจัดทำฐานข้อมูลเรื่องร้องเรียนที่ประชาชนแจ้งเบาะแสเข้ามา เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหา