สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ว่าทำเนียบรัฐบาลศรีลังกา โดยนายกรัฐมนตรีรานิล วิกรมสิงเห รักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ และบังคับใช้เคอร์ฟิวครอบคลุมจังหวัดเวสเทิร์น ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของกรุงโคลัมโบ โดยยังไม่มีความชัดเจน ว่าคำสั่งทั้งหมดจะมีผลบังคับใช้นานเท่าใด


ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังประธานาธิบดีโกตาพญา ราชปักษา เดินทางด้วยเครื่องบินของกองทัพศรีลังกาไปยังมัลดีฟส์ หลังประกาศให้การลาออกมีผลในวันที่ 13 ก.ค. และเพื่อหลีกทางให้กับ “การเปลี่ยนผ่านอำนาจโดยสันติวิธี”


ทั้งนี้ การหลบหนีของราชปักษาเป็นไปตามการวิเคราะห์ของหลายฝ่าย ว่าจำเป็นต้องออกนอกประเทศให้ทันก่อนถึงกำหนดการลาออก เพื่อให้ยังคงสถานะคุ้มกันตามกฎหมายในฐานะผู้นำประเทศ ขณะที่แหล่งข่าวให้ข้อมูลด้วยว่า มัลดีฟส์ “ยังไม่น่าเป็นจุดหมายปลายทาง” ของราชปักษาและภริยา


ด้านผู้ประท้วงต่อต้านราชปักษายังไม่เชื่อมั่นต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยยืนกรานว่า จะเคลื่อนไหวต่อไป จนกว่าจะมี “การลาออกอย่างเป็นทางการ” ขณะที่ก่อนหน้านี้ วิกรมสิงเหแสดงความจำนงลาออกเช่นกัน และหากมีการลาออกเกิดขึ้น ประธานรัฐสภาจะทำหน้าที่รักษาการ จนกว่าจะครบวาระการดำรงตำแหน่งของราชปักษา คือเดือน พ.ย. 2567


อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมัลดีฟส์ยังปฏิเสธให้ความเห็นอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับการเดินทางเข้ามาของราชปักษา ซึ่งบริหารประเทศมาตั้งแต่ปี 2562 ใช้นโยบายประชานิยมหลายอย่าง ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อฐานะทางการคลังของประเทศ และเป็นชนวนของวิกฤติเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดของศรีลังกา ซึ่งยังคงยืดเยื้อจนถึงปัจจุบัน


ขณะที่ชาวศรีลังกาส่วนใหญ่เชื่อว่า ตระกูลราชปักษาที่รวมถึงนายมหินทา ราชปักษา อดีตประธานาธิบดีและอดีตนายกรัฐมนตรี และนายบาซิล ราชปักษา อดีต รมว.การคลัง ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายและน้องชายของอดีตประธานาธิบดี คือต้นเหตุของความล่มสลายทางเศรษฐกิจ จนอัตราเงินเฟ้อเมื่อเดือนที่แล้ว พุ่งสูงถึง 54.6% อนึ่ง จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ ว่ามหินทาและบาซิลยังคงอยู่ในศรีลังกาหรือไม่.

เครดิตภาพ : REUTERS