กลับมาพบกันอีกครั้งกับ “ทีมทีม Saga Expeditions” ซึ่งในครั้งนี้ เราตั้งใจอยากไป South Sudan มานาน แต่ด้วยเหตุผล 3 อย่างทำให้เราเลื่อนทริปออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุผลก็ตามนี้

1.ความที่มีสงครามในประเทศมายาวนาน พึ่งมาสงบเมื่อปีที่แล้ว 2019 
2.เราอยากไปดูเผ่า ด้วยความที่ South Sudan ยังห่างไกลจากความเจริญทุกอย่าง คนเผ่ายังคงอยู่แบบดังเดิม แต่หาโปรแกรมถูกใจยาก 
3.แพง เพราะการเข้าไปเผ่า ต้องมีคนพาไป ไปเองไม่ได้ ต้องหาเพื่อนไป ไม่ก็ไปแชร์กับคนอื่น

จนในที่สุด สงครามสงบลง คนเผ่าเลิกรบกัน มีโปรแกรมที่น่าสนใจและราคาพอฟัง ได้ดู 5 เผ่า เราเลยตัดสินใจไป ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ชนเผ่าแรกที่เราจะนำเสนอคือคน Mundari ซึ่งเป็นชนเผ่าที่โด่งดังสุดชองซูานใต้ตอนนี้ 

ว่าแต่ ซูดานใต้ มันอยู่ไหน? ซูดานใต้ก็อยู่ติดกับซูดานในทวีปแอฟริกา เป็นประเทศแลนด์ล็อก หรือเรียกง่ายๆว่าไม่มีทางออกทะเล เป็นประเทศน้องใหม่ล่าสุดในปี 2011 แต่ก่อนก็เป็นส่วนหนึ่งของซูดาน แต่ด้วยความที่คนละศาสนา คนไม่เหมือนกัน การปกครองและบริหารไม่เท่าเทียมกัน ทำให้เกิดสงครามจนต้องได้แยกประเทศ แยกกันแล้วไม่พอ ในประเทศตัวเองก็ขัดแย้งกันอีก ประกอบกับความที่มีแต่คนเผ่า แล้วแต่ละเผ่าก็เป็นนักรบ ทะเลาะกันวุ่นวาย เพิ่งมาสงบเมื่อปี 2019 ใหม่แบบแกะกล่องเลยจ้า ตอนนี้คำว่าการท่องเที่ยวยังห่างไกล ว่าแล้วก็มาดูคนเผ่าแรกก่อนเลย 

Mundari หรือเราเรียกว่า คนเผ่าเลี้ยงวัวจูออน จูออนยังไง ตามไปดูกัน

เด็กหน้าขาวเป็นจูออนแบบนี้ เพราะต้องทาขี้เถาขี้วัวที่เผากัน มาทาตามตัว เพื่อป้องกันแมลงต่างๆ 

คน mundari เป็นหนึ่งใน 64 เผ่าในซูดานใต้ อาศัยอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง Juba แต่การที่จะเข้าไปหาแต่ล่ะเผ่าในซูดานไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้แบบนั่งรถไปหา เจ๊าะแจ๊ะยิ้มขอถ่ายรูป ต้องมีไกด์ จ่ายและเจรจาไว้ก่อนหน้านั้น เพราะหลายเผ่าในซูดานเป็นเผ่านักรบนิสัยดุดัน ต่อสู้กันเอง มีความระแวงบุคคลภายนอก ปืนมีทุกหมู่บ้าน ภาษาเผ่าก็มีเฉพาะอีก ความพัฒนายังไม่ถึง สิ่งที่เราคิดคาดหวังไม่มี ไปเองอาจเจอยิงตายได้

สภาพของเราก็โทรมพอควร ดูจากเท้าได้ เพราะรอบๆไม่มีน้ำอาบ แดดก็ร้อน ขี้เถ้าก็ฟุ้งไปหมด เรากางเต็นท์นอนอยู่ที่นี่ 2 คืน 3 วัน จริงๆต้องนอน 3 คืน แต่ไม่ไหว เพลียมากเลยขอกลับก่อน แต่เราว่า 2 คืน 3 วันก็พอแล้ว ได้ทั้งแสงเช้าและแสงเย็น พอเพียง แล้วเราก็ไม่ได้ชอบถ่ายรูปขนาดนั้น 

เผ่า Mundari  มีความผูกพันกับว้ว เกิดมาพร้อมวัว แต่งงานก็ต้องมีวัว มีชีวิตอยู่เพื่อเลี้ยงวัว ตายได้เพื่อวัวเพราะมีเผ่าอื่นมาขโมย เป็นคนของวัวโดนแท้จริง

เช้ามาก็จะเห็นคน Mundari นอนรอบๆ กองไฟขี้เถ้าวัว เพื่อป้องกันสัตว์ต่างๆ และแมลง อีกทั้งเฝ้าวัวด้วย

ส่วนผู้หญิงและเด็ก จะนอนในโจมที่สร้างขึ้นมาง่ายๆ

เด็กผู้ชายเช้าและเย็นมีหน้าที่ กวาดขี้เถ้าวัวมารวมกัน เพื่อจะก่อกองไฟอีกที่ช่วงเย็น คนที่เป็นภูมิแพ้มาที่นี่ตายแน่ ควันลอยตลอดเวลา

ขี้วัวที่แห้งแล้ว เด็กๆจะตามเก็บ 

วิธีการอาบน้ำ ใช่จ้ะ ดูไม่ผิดหรอก ฉี่วัวนั่นเอง คนมุนดารี่เชื่อว่า น้ำฉี่วัวรักษาโรคผิวหนังได้ดี เป็นยาและแชมพูสำหรับเค้า แปลกที่ว่าฉี่วัวไม่มีกลิ่นเลย ไม่ได้ลองหรอกนะ …..แต่เด็กขอดูรูปหลังจากถ่ายเสร็จ หัวเปียกๆนั้นล่ะ เราเลยได้ใกล้ชิด คิดว่าจะเหม็นแต่ไม่เลย ไม่มีกลิ่นประหลาด 

ขี้เถ้าวัว ยังเป็นยาสีฟันได้ด้วย สารพัดประโยชน์สุดๆ

การเป่าก้นวัว ถือเป็นภารกิจที่เด็กชายต้องทำ เป่าเพื่อให้นมออก

ที่นั่งเล่นของเด็กๆ กองขี้เถ้าวัว

ส่วนเด็กผู้หญิง มีหน้าที่ช่วยแม่ทำกับข้าว ไปตักน้ำ บ่อน้ำก็อยู่ห่างไกล 3 กิโลได้ ทั้งแบกน้ำ ทั้งอุ้มน้อง สตรองสุดๆ

วัวคือมรดกสมบัติ ยิ่งมีเยอะหมายถึงรวย (วัวจะไม่ถูกกินนอกจาก วัวแก่ วัวใกล้ตาย) ยิ่งวัวเยอะยิ่งขอผู้หญิงแต่งงานได้ ทุกเช้า ทุกเย็น และทั้งวัน ผู้ชายจะมีหน้าที่ดูแลวัว ช่วงเย็นจะเอาขี้เถ้าวัวมาทาตัวให้วัว ประคบประหงมกันสุดๆ เช้ามาก็พาไปเดินหาน้ำหาหญ้ากิน

รอยกรีดบนหน้าผาก เป็นสัญลักษณ์ของเผ่านี้ ส่วนหวีเสียบคาผมเป็นแฟชั่น หน้าขาวๆคือขี้เถ้าวัว

คุณสมบัติผู้หญิงที่ผู้ชายต้องการแต่งงานด้วย คือ สูง ตัวใหญ่ แข็งแรง ทำอาหาร งานบ้าน มีลูกได้เยอะ ขั้นต่ำจะได้ 50 วัวเป็นค่าสินสอด และวัวจะเพิ่มขึ้นถ้าผู้หญิงมีคุณสมบัติที่กล่าวมาเพียบพร้อม และผู้ชายเผ่านี้เลี้ยงวัวอย่างเดียว ส่วนผู้หญิงทำหมด เริ่มตั้งแต่สร้างบ้านจนไปถึงหาอาหารมาคอยสามีกลับมาจากเลี้ยงวัว

เด็กๆที่เกิดมาก็ต้องดูแลตัวเอง เพราะแม่ก็ท้องไม่เคยว่าง ต้องมีลูก ตลอดเวลา พอเด็กเดินได้ก็เลี้ยงน้องที่กำลังแบเบาะต่อ เลี้ยงแพะ เก็บขี้วัว ทำงานบ้าน ไปตักน้ำที่แสนไกล กระเตงน้องไปแบกถังน้ำไป ถ้าครอบครัวมีลูก สิบคนก็จะตายสัก 5-6 คน คนที่รอดได้คือต้องสตรองสุดๆ ทั้งโรคร้าย ทั้งความแล้ง และความอดอยาก ขาดสารอาหาร

ส่วนหญิงไทย คงได้วัวแค่สองตัว เพราะทำอย่างที่สาวมุนดารี่ทำไม่ได้สักอย่าง ดีไม่ดี 2 วันก็คงตายแล้ว

ด้วยความที่ซูดานเป็นเผ่านักรบนิสัยดุดัน ต่อสู้กันเอง มีความระแวงบุคคลภายนอก ปืนจึงจำเป็นต้องมี กฎหมายก็เบาบาง ทุกคนเลยต้องมีปืนไว้ป้องกันตัว

วัวตัวที่แข็งแรงจะถูกเจาะเลือดที่คอสัก 1-2 ลิตร เพื่อจะมาทำเมนูพิเศษ เลือดวัวที่ได้จะมาผสมกับนมวัวคั่วข้นๆกับไฟจนเป็นก้อนแข็ง และนั้นคือ อาหารเพื่อสุขภาพ แบบฉบับมุนดารี่ กินแล้วแข็งแรง

เรามาพร้อมทั้งไกด์, คนขับรถ, พ่อครัว และเต็นท์ส่วนตัว ยังขอกลับโรงแรมก่อนเลย อยู่ได้แค่ 2 คืน จาก 3 คืน อากาศร้อนสุดๆ ควันขี้เถ้ากระจายตามอากาศ หายใจไม่ออก แมลงก็เยอะ ถ้าอยู่ต่อคงตาย ยอมใจให้คนมุนดารี่เลย ที่สุดของความเป็นอยู่ ซูเปอร์แมน ยังอาย..

พาท่องโลกโดย : Saga Expeditions