เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งมีคลิปการทำพิธีประหลาด เป็นพิธีเปิดดวงเศรษฐี เผยแพร่ในโลกโซเชียล เบื้องต้นที่อ้างว่าเป็นหนึ่งเดียวในภาคอีสาน มีผู้ศรัทธาหลั่งไหลไปร่วมพิธีจำนวนมาก และมีการให้ดื่มสุราสร้างความฮือฮา​ และหลายฝ่ายเกิดข้อกังขาในความเหมาะสม ที่สำนักฤาษีคัมภีร์ คัมภีรปัญโญ บ้านเชียงยืน หมู่ 5 ต.เชียงยืน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม จึงเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบมีผู้มาเตรียมเครื่องเซ่นไหว้รอคิวร่วมพิธีกันจำนวนมาก

สอบถาม ฤาษีคัมภีร์ คัมภีรปัญโญ เจ้าพิธี เบื้องต้นเปิดเผยว่า พิธีนี้ไม่ใช่พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นพิธีกรรมทางโลก โลกเราก็เป็นแบบนี้ มีการอยู่การกิน มีครูเป็นครูยักษ์ ครูองค์พระพิราพ ครูสายฟ้าฟาด ครูชายขี้เมา ครูบิณฑบาตดวง คำว่าสุรา มาจากคำว่าอสูร มาจากสุระ เป็นอสุรา สุราจึงมาเกิดเป็นอสูร พิธีนี้นอกศาสนา การทำบุญเปิดดวงเศรษฐี คือการเลี้ยงครู การเฉลิมฉลอง แต่พิธีกรรมเหล่านี้ไม่ได้บอกว่าทำแล้วรวยเลย เป็นเพียงกำลังใจ​ ในการคล้าย ๆ คนขาดหลักในการดำรงชีวิต สิ่งที่ทำได้คือการให้กำลังใจมากกว่า ไม่ได้ให้เชื่อว่าขลัง มีคนบอกว่าทำแล้วปัง อันนี้เค้าทำแล้วเค้าทำงาน หาทางขยับขยายธุรกิจเพิ่มเติม ไม่ใช่กินเหล้าเมายาแล้วรวย มีแต่คนขายแหละที่รวย สิ่งนี้เป็นสิ่งทางโลก ไม่ใช่ผู้หวังนิพพาน ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ นับเป็นไสยศาสตร์นอกศาสนา

“เคยมีคนมาแล้วปัง เค้าก็กลับมาอีก วันนี้ก็มีคนเอาทองมาถวาย คนที่ประสบความสำเร็จถามว่าทุกคนมั้ย บอกเลยว่าไม่ ทำไมถึงเป็นที่รู้จัก เพราะมีคนเคยมาแล้วได้ผลกันบ้างก็เลยมีการบอกต่อ ๆ กันไป สิ่งที่ปังก็คือความขยัน จะพยายามบอกทุกคนว่าทำไปแล้วต้องขยัน แรงครูเป็นเพียงตัวช่วย ต้องขยันถึงจะปัง ถึงไม่มีพิธีกรรมคนก็หากินเหล้าอยู่แล้ว มันเป็นของเลี้ยงโลก ภาษีประเทศไทยอะไรแพงที่สุด คือภาษีเหล้าเบียร์ เป็นภาษีที่หล่อเลี้ยงโลก เอาเหล้าเบียร์มาเป็นตัวหนุนดวง แต่จริง ๆ แล้วในพิธีไม่ได้มีแต่เหล้าเบียร์เพียงอย่างเดียว ต้องมีการแจกทานด้วย ปล่อยสัตว์ ซื้อที่ดินถวายวัด ถึงจะเกิดดวงเศรษฐี เป็นกุศโลบายก็จริง​ แต่มันนอกศาสนา ซึ่งในพิธี เรียกว่า สวดอยู่สวดกิน เวลาสวดต้องกินไม่ขาดปาก กินนิดกินหน่อยก็ถือว่ากิน เคล็ดลับคือกินไม่ขาดปาก คนชอบกินก็อาจจะกินเยอะหน่อย เป็นพิธีของฆราวาสจัดเป็นพิธีทางโลก อยากจะฝากนักข่าวอธิบายให้ชัดด้วย”

ฤาษีคัมภีร์ กล่าวและเล่าต่อว่า พระอาจารย์เรียนมาแบบนี้ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล เชื่อก็มา ไม่เชื่อก็ไม่มา ไม่ได้บังคับ โลกนี้มี 2 ส่วน มืดสว่าง ดำขาว คิดต่างได้ แต่เราไม่แตกต่าง คนที่ตำหนิควรมาดูว่าสิ่งที่ทำมันเกิดประโยชน์อะไรกับสังคมมั้ย มาดูว่าเกิดประโยชน์กับชาวบ้านมั้ย ปัจจัยที่เราได้มาเราเอาไปสงเคราะห์สังคมแบบไหน อาจารย์ชอบช่วยเหลือคนในมุมมืดแบบนี้ดีกว่า ดังนั้นคนที่ชื่นชอบศรัทธาก็มา คนไม่เชื่อก็ไม่มา เพราะไปบังคับคนที่ไม่เชื่อไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่สามารถทำได้ 4 อย่าง คือ 1.วิบากกรรม 2.รสชาติของพระธรรม 3.สติปัญญา และ 4. วาสนาไม่ตรงกัน ฝนตกทั่วฟ้าไม่มีประโยชน์กับหญ้าที่ไร้ราก คนที่ศรัทธาเค้ามาเอง คนที่เคยทำเค้าก็มา ตรงไหนดีเค้าก็มาสุดท้ายเป็นเรื่องของความเชื่อ ถ้าเชื่อค่อยทำ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องทำ เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์อยู่ในกระเป๋าพวกคุณ ทางเราไม่ได้ไปเรียกร้อง แต่ว่าถ้าทำแล้วมันจะปัง มันจะดีอยู่ที่ศรัทธา พิธีกรรมไม่ขลังเท่าพฤติกรรม ทำไปแล้วต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการอยู่การกิน ต้องทำมาหากิน เอาหลักธรรมมาใช้ยังไงก็รวยถ้ามีสติ และความเชื่อเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล.