เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 110/1 พื้นที่หมู่ 3 ต.พระนอน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ หลังมีรายงานว่า ที่บ้านหลังดังกล่าว มีชายชื่อ นายองอาจ​ บุญฤทธิ์​ อายุ 65​ ปี ประสบกับปัญหาความเดือดร้อนมานานกว่า 12 ปี จากการมีใบมรณบัตรเป็นของตนเอง ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้เสียชีวิตแต่อย่างใดจึงส่งผลทำให้ไม่สามารถต่ออายุบัตรประชาชนได้ รวมถึงยังไม่สามารถรับการช่วยเหลือค่าสวัสดิการต่างๆ ของรัฐได้ด้วย

จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่า นายองอาจ ยังคงมีสุขภาพแข็งแรงดีและพักอาศัยอยู่ที่บ้านกับภรรยาเพียง 2 คน ส่วนลูกๆ ได้ไปมีครอบครัวและทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ กันหมดแล้ว ขณะที่ นายองอาจนำเอกสารหลักฐานมาให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมกับเปิดเผยว่า เมื่อช่วงปลายปี 2553 ตนได้เดินทางไปติดต่อขอต่ออายุบัตรประชาชน ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองนครสวรรค์ แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้แจ้งกับตนว่าไม่สามารถต่ออายุบัตรประชาชนให้ได้ เนื่องจากตนมีใบมรณบัตร ที่ได้แจ้งการตายเอาไว้เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2540

โดยมีนายชูชาติ เดชเกล้า ได้แจ้งขอออกใบมรณบัตรไว้ที่เทศบาลนครนนทบุรีระบุ นายองอาจ​ บุญฤทธิ์ เสียชีวิตด้วยโรคปอดอักเสบ​ ที่โรงพยาบาล​โรคทรวงอก​ จ.นนทบุรี และได้แจ้งว่ามีการเคลื่อนย้ายร่างไปทำพิธีฌาปนกิจศพวัดมหาบุศย์ (แม่นาค)​ เขตพระโขนง​กรุงเทพ เมื่อวันที่​ 6​ พฤศจิกายน​ 2540

นายองอาจ กล่าวว่า เมื่อตนทราบเรื่องว่ามีคนแจ้งว่าตนตาย ตนก็รู้สึกตกใจและแปลกใจเป็นอย่างมากที่จู่ๆ ก็มีการแจ้งขอออกใบมรณบัตร ทั้งที่ตนยังมีชีวิตอยู่ดีปกติทุกอย่าง ซึ่งก็ยังมองว่าอาจจะเกิดการผิดพลาด จากชื่อนามสกุลที่อาจมีคนมีชื่อนามสกุลเดียวกันก็ได้ แต่เมื่อตนได้ขอตรวจสอบเอกสาร กลับปรากฏหลักฐาน ทั้งเลขเลขบัตรประชาชน รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เหมือนกับของตนทุกอย่าง ผิดอยู่อย่างเดียว คือชื่อบิดามารดาของตนไม่ตรงกับที่เขาได้แจ้งไว้

“หลังจากเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันตนได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อำเภอ ให้ไปหาหลักฐานใบมรณบัตร และไปตรวจสุขภาพเพื่อออกใบรับรองแพทย์รวมถึงให้ญาติพี่น้องในครอบครัว หรือ​เพื่อน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต.พระนอน เซ็นชื่อรับรองยืนยันว่าตนยังไม่ได้ตาย ในการยื่นเรื่องคำร้องขอยกเลิกใบจำหน่ายการตายของสำนักทะเบียนท้องถิ่น เทศบาลนครนนทบุรี แต่ปรากฏว่า คำร้องนั้น ก็ไม่สัมฤทธิผลและตนยังคงมีชื่อแจ้งตายมาจวบจนทุกวันนี้” นางองอาจ กล่าว

เมื่อถามถึงเหตุผลที่ทางเทศบาลนครนนทบุรีไม่สามารถยกเลิกการจำหน่ายการตายได้นั้น นายองอาจ ให้ข้อมูลว่าทางสำนักทะเบียนเทศบาลนครนนทบุรี ได้ดำเนินการตรวจสอบมรณบัตรของตนแล้ว ไม่สามารถยกเลิกการแจ้งการตายได้ เนื่องจากข้อมูลรายบุคคลของผู้ที่แจ้งแม้จะใช้ชื่อและนามสกุล รวมถึงเลขบัตรประชาชน 13 หลักเดียวกับตน แต่ในรายการข้อมูลใช้ชื่อบิดามารดาคนละชื่อและที่อยู่แตกต่างกัน ทางเขาจึงเชื่อว่าเป็นคนละบุคคลกันส่วนสาเหตุที่รายการบุคคลของตนถูกจำหน่ายตายในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร เนื่องจากการปรับปรุงรายการข้อมูลของสำนักทะเบียนกลาง ได้มีการนำเลขบัตรประชาชนของตนมาลงในใบมรณบัตร จึงเป็นเหตุทำให้รายการบุคคลของตน ถูกจำหน่ายตายในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร สรุปคือในนามของตน คือคนตายไปแล้ว แต่ตัวจริงยังคงมีชีวิตอยู่

นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า นี่ก็ผ่านมา 12 ปีแล้วนะ ที่ตนไม่มีบัตรประชาชนใช้เพราะชื่อของตนยังไม่ถูกยกเลิกการแจ้งตาย ซึ่งมันทำให้ตนสูญเสียโอกาสหลายอย่าง จะขี่รถออกไปหางานทำที่ไหน ก็ลำบาก กลัวว่าจะถูกจับ เพราะไม่มีใบขับขี่ หนำซ้ำยังประสบกับปัญหาไม่ได้รับเงินเบี้ยผู้สูงอายุ​ไม่ได้มา 5​ ปี ไม่ได้รับการชดเชยเรื่องการเกษตรจากภาครัฐ ไม่มีชื่อ​รับสิ่งของบริจาคจากภาครัฐและเอกชน จะใช้สิทธิไปเลือกตั้งก็ไม่ได้ อีกทั้ง ยังไม่สามารถขอกู้เงินมาลงทุนจากภาครัฐหรือจากกลุ่มเอกชนได้ เพราะตนมีชื่อในเอกสาร​ใบมรณบัตร​ ระบุตนเป็นผู้เสียชีวิต

เมื่อถามถึงบุคคลที่มีชื่อปรากฏไปแจ้งตายนายองอาจกล่าวว่า ตนไม่เคยรู้จัก และไม่เคยเห็นหน้านายชูชาติ เดชเกล้า ที่เขาไปแจ้งตนตายเลยนะ แต่ก็อยากจะฝากบอกไปถึงเขาว่า เรื่องนี้มันทำให้ตนเดือดร้อนอย่างหนักต้องทนทุกข์มานานกว่า 12 ปี จะออกไปทำงานที่ไหนก็ไปหาทำไม่ได้ ตนต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกต้นไม้ขายไปวันๆ ส่วนภรรยา ก็ต้องมาเดือดร้อนตามเพราะรายได้ที่ไว้ใช้จ่ายภายในครอบครัวส่วนใหญ่ ภรรยาหามาได้ก็ต้องเอามาใช้จ่ายภายในบ้านจนเกือบหมด แทบไม่มีเหลือเก็บกันเลย ซึ่งขณะนี้ตนและครอบครัวก็ยังมืดแปดด้าน ยังคงหาทางออกเพื่อแก้ปัญหาไม่เจอ จึงอยากวิงวอนร้องขอหน่วยงาน หรือผู้รู้มีความสามารถท่านใดก็ได้โปรดให้การช่วยเหลือ ในการยกเลิกใบมรณบัตรของตนด้วย ตนจะได้ใช้ชีวิตอยู่ตามปกติต่อไป