เมื่อวันที่ 29 ก.ค. นายเอ (นามสมมุติ) 49 ปี ชาว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช พ่อค้าปุ๋ยหอบหลักฐานร้องขอความช่วยเหลือจากศูนย์ข่าวนคร 24 ชม. สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยอ้างว่า มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรฯ เข้ามาหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวจากลูกชายวัย 10 ขวบ ก่อนจะแอบทำธุรกรรมการเงินโดยที่ตนเองไม่ทราบ กระทั่งโอนเงินไปเข้าบัญชีปลายทางถึง 65 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 7-25 ก.ค. 65 เป็นเงิน 1,206,000 บาท หลังเกิดเหตุได้เข้าแจ้งความกับตำรวจให้ช่วยติดตามคดีนี้ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา แต่จนถึงตอนนี้ คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า จึงเข้ามาร้องสื่อให้ช่วยประสานฝ่ายงานเกี่ยวข้องช่วยติดตามเรื่องอีกครั้ง

นายเอ เล่าอีกว่า ก่อนหน้านี้ ลูกของตนมาขอใช้โทรศัพท์เพื่อเรียนออนไลน์ และเล่นเกมออนไลน์ ปรากฏว่ามีมิจฉาชีพติดต่อเข้ามาเป็นจังหวะที่ลูกชายรับสาย อีกฝ่ายจึงพยายามตีซี้กับลูกด้วยการสอบถามว่าลูกชอบเล่นเกมอะไร อยากชนะหรือเปล่า อยากได้คะแนนมากกว่าเพื่อนหรือไม่ หากทำตามที่มิจฉาชีพบอกก็จะได้คะแนนสูงกว่าคนอื่น แต่มีเงื่อนไขว่า ห้ามบอกเรื่องนี้กับพ่อเด็ดขาด ปรากฏว่าลูกของตนหลงเชื่อ ใช้มือถือถ่ายรูปบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งมีข้อมูลส่วนตัวส่งไปให้มิจฉาชีพ ก่อนจะแชตไลน์คุยกันหลายครั้งหลายหน ทำตามที่มิจฉาชีพบอกทุกอย่าง จนสุดท้ายมีการโอนเงินจากบัญชีธนาคารของตนไป ก่อนที่อีกฝ่ายจะบล็อกการติดต่อทั้งหมด

ที่ตนแปลกใจก็คือ ตามปกติเมื่อมีเงินโอนเขาบัญชีหรือโอนออกจากบัญชี จะมีข้อความ sms ธนาคารแจ้งให้ทราบทุกครั้ง เพราะตนทำสัญญาตกลงไว้กับธนาคาร แต่ในกรณีนี้กลับไม่มีข้อความ sms แจ้งบอกกล่าวใด ๆ แม้แต่น้อย ขณะที่ดอกเบี้ยที่ตนได้รับจากธนาคารในช่วงเดียวกัน กลับมีข้อความแจ้งทุกครั้ง และตามปกติแม้ตนจะทำธุรกิจจำหน่ายปุ๋ย แต่ไม่เคยโอนเงินผ่านทางออนไลน์เลย เพราะตนกลัวเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนเมื่อตนนำสมุดบัญชีไปปรับ จึงได้รู้ความจริงว่าเงินถูกโอนออกไปต่อเนื่องถึง 65 ครั้ง เมื่อขอดูบัญชีปลายทางจากธนาคาร กลับได้รับการปฏิเสธ อ้างว่าเป็นความลับของลูกค้า ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ จึงทำได้เพียงวอนให้ตำรวจและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้ ว่ามิจฉาชีพใช้วิธีไหนโอนเงินของตนไปยังบัญชีอื่น เพราะตนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีในโทรศัพท์ รวมทั้งจะติดตามเอาเงินคืนได้อย่างไร ตนอยากเตือนไปยังผู้ปกครอง ว่าให้ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือให้ดี อย่าคิดว่าไม่ใช้โทรศัพท์ทำธุรกรรมการเงินแล้วจะไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะคอลเซ็นเตอร์อาจพุ่งเป้ามาหลอกเอาข้อมูลจากบุตรหลาน ในแบบกรณีของตนก็เป็นได้

สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น นายเอ ยืนยันว่า กลุ่มมิจฉาชีพได้ข้อมูลเกี่ยวกับเลขบัตรประจำตัวประชาชนไปเท่านั้น ซึ่งในเรื่องนี้ ทางเพจเฟซบุ๊ก “ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ” ก็ได้เคยโพสต์แจ้งเตือนประชาชนไว้ว่า ให้ระวังมิจฉาชีพหลอกถามข้อมูล ชื่อ-สกุล เบอร์โทรศัพท์ วัน-เดือน-ปีเกิด และเลขท้ายบัตรประชาชน เพื่อนำไปทำธุรกรรมทางการเงิน อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้น ยังต้องรอการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันความชัดเจนต่อไป.