ศาสตราจารย์พิเศษ ร้อยโท บรรจบ บรรณรุจิ ราชบัณฑิต ประเภทวิชาปรัชญา สาขาวิชาศาสนศาสตร์ สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก Banjob Bannaruji – บ้านบรรณรุจิ ระบุว่า ‘หลายคำตอบกับพฤติกรรมของครูบาบุญชุ่ม’ นิกายอะไร? สมาชิกเฟซบุ๊กถามผมมาว่า ครูบาบุญชุ่มเป็นพระนิกายอะไร ครั้งแรกผมไม่ตอบ เพราะไม่ได้คิดจะให้คุณค่าของความเป็นพระที่นิกาย แต่ต่อมามีหลายคนส่งรูปมาให้ เห็นแล้วก็เลยเข้าใจคำถามและคิดว่าจะไม่ตอบไม่ได้แล้ว หากต้องการเคลียร์เรื่องนี้แก่สังคม จึงตอบว่า ดูจริยาวัตรและการแต่งกายของท่านแล้วน่าจะบอกได้ว่า ‘ท่านเป็นพระนิกายเถรวาทผสมกับนิกายวัชรยาน’

พูดถึงเถรวาทน่าจะเป็นลูกผสมระหว่างพม่ากับไทย และวัชรยานก็เช่นกันก็ดูจะเป็นลูกผสมระหว่างเนปาลกับทิเบต ซึ่งพัฒนามาจากมหายานเดิมในราว พ.ศ.1000 เรื่องลูกผสมระหว่างพม่ากับไทยก็ต่างกันแค่ลักษณะการห่มจีวรและสีจีวร โกนคิ้วไม่โกนคิ้ว ส่วนวัตรปฏิบัติตามพระธรรมวินัยก็คล้ายๆ กัน สำหรับเนปาลกับทิเบตจะผสมกันแค่ไหนก็ขอฝากไว้ศึกษาด้วยกัน แต่ที่กล้าระบุเช่นนั้น เพราะนิกายวัชรยานเวลาทำพิธีสำคัญๆ จะสวมหมวกมีทั้งหมวกแดงหมวกเหลือง เคยเห็นครูบาท่านสวมหมวกเหลืองอยู่บางครั้ง เวลาประกอบพิธีสำคัญ แสดงว่าได้รับอิทธิพลมาจากนิกายวัชรยาน ซึ่งชำนาญเรื่องการใช้คาถาอาคมและเวทมนตร์สู้กับสิ่งลี้ลับ

ท่านแปลกไปไหม? ยอมรับว่าแปลกไป พฤติกรรมที่แสดงออกแปลกๆนี้ เมื่อก่อนไม่เคยเห็น สาธุชนและศิษย์ของครูบาจำนวนมากก็ยืนยันเช่นนั้น แต่ถ้าจะถามว่าแปลกขั้นไหน ก็คงตอบได้แต่ว่า แปลกไปจากเดิมมาก ชนิดที่บาลีเรียกว่า ‘ตัพพิปรีตะ’ คือ ตรงข้ามกันไปเลยกับเมื่อก่อน เมื่อก่อนไม่เคยห็นภาพท่าน เล่นแลบลิ้นปลิ้นตาบนธรรมาสน์, พูดไปหัวเราะไป, เดินรำปนไปกับพวกเล่นดนตรี, ถือของป้อนคนโน้นคำคนนี้คำ, เล่นสนุกสนานเอาน้ำแข็งวางบนหัวคน, กราบเณรน้อย ซึ่งทั้งหมดนี้มองด้วยตาเราๆ ก็เห็นว่าไม่ใช่กิริยาอาการของครูบาบุญชุ่ม รูปที่ก่อนเข้าถ้ำปิดวาจาเป็นเวลา 3 ปี

ปฏิกิริยาของสังคม? สังคมมองตรงกันว่า แปลกไป แต่ก็ต่างกันไปในประเด็นใหญ่ๆ ว่า ท่านกำลังแสดงปริศนาธรรมบ้าง ท่านป่วยทางสมองบ้าง ซึ่งผมเห็นว่า 2 ประเด็นนี้น่าเคลียร์หรือทำความเข้าใจกันด้วยหลักวิชา ประเด็นแรก “ท่านแสดงปริศนาธรรม” ความเห็นกลุ่มนี้เชื่อว่า ‘ท่านแสดงเรื่องสำรวมระวังตาหูจมูกลิ้นกาย’ ฟังแล้วเข้าที ผมเลยต้องไปไล่เลียงคัมภีร์เถรวาทดู พระพุทธเจ้ากับพระสาวกรูปไหนเคยแสดงปริศนาธรรมแบบนี้บ้าง ก็พบว่ามีแสดงปริศนาบ้าง แต่เป็นปริศนาธรรมแบบคำพูด คือพูดให้คิด ส่วนที่จะแลบลิ้นปลิ้นตาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่พบ แม้ในพระไตรปิฎกบาลีจะระบุว่า พระพุทธเจ้าเคยแสดงปาฏิหาริย์ให้พราหมณ์คนหนึ่งเห็นอวัยวะเพศของพระองค์ตามที่เขาอยากเห็นเพื่อเช็กดูว่าทรงมีลักษณะของมหาบุรุษครบไหม ก็ไม่ใช่แบบนี้ พระองค์ทำขณะประทับอยู่ต่อหน้าสาธารณชนจริง แต่คนที่สงสัยเห็นอยู่คนเดียว ไม่ประเจิดประเจ้ออะไร

ส่วนพระสาวกเล่า พระสาคตะมีฤทธิ์มากปราบพญานาคตัวดุร้ายได้ทำให้ชาวเมืองหายกลัว พวกเขาเห็นท่านเป็นพระฮีโร่ควรจะต้องสดุดีกันเลยแต่ละบ้านจึงเตรียม ‘น้ำชัยบาน – น้ำดื่มแสดงชัยชนะก็คือเหล้า’ บ้านละจอกไว้ถวายให้ท่านดื่มเวลามารับบิณฑบาตตอนเช้า พระสาคตะไม่ขัดข้องให้ดื่มก็ดื่ม ปรากฏว่าเช้าวันนั้นกลับไม่ถึงวัดเดินเมาแอ๋แอ่นหน้าแอ่นหลังล้มฟุบหลับข้างทาง พระพุทธเจ้ามาพบเข้าจึงให้พระประคองท่านกลับวัด และถือเป็นต้นเรื่องบัญญัติห้ามพระดื่มสุรา เล่าเรื่องนี้เพื่อบอกว่า พระสาคตะรูปนี้ตอนเป็นพระฮีโร่นั้น ยังเป็นพระปุถุชนแต่ได้ฌาน 4 แสดงฤทธิ์ได้เก่งมากปราบนาคได้ แต่สติท่านก็ต้านทานฤทธิ์เหล้าไม่ไหว ดื่มเกินขนาดก็เมาเป๋เอาทีเดียว สรุปว่า พระไตรปิฎกบาลีของนิกายเถรวาทไม่มีระบุจริยาวัตรแสดงปริศนาธรรมแบบครูบาบุญชุ่มไว้

ยังอยากให้ความเป็นธรรมกับครูบาบุญชุ่มอยู่ เลยหันมามองดูพระเถรวาทในสังคมไทยเราแต่โบราณ พระเถระทั้งหลาย เช่น สมเด็จโตวัดระฆัง ก็แสดงปริศนาธรรมเยอะ แต่ก็ไม่อย่างนี้ หลวงพ่อกบ เข้าถ้ำสาลิกาลพบุรีก็น่าสนใจ รูปนี้แสดงปาฏิหาริย์เยอะมาก สุดท้ายท่านตัดรำคาญคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองที่มารุกรานท่านว่าชอบแสดงอะไรแผลงๆ เช่น นอนตากแดดรับแขกบ้าง จับกบมาต้มยำเลี้ยงลูกศิษย์ตอนเย็นบ้าง ลูกศิษย์ก็เห็นว่าเป็นกบจริงๆ ดิ้นหย็องแหย็งๆ เลยกินต้มยำกบกันอิ่มหมีพีมัน ที่เหลือยังเก็บไว้อีก ตื่นเช้ามาเปิดหม้อดูไม่เห็นกบเห็นแต่ใบไม้ลอยฟ่องอยู่ แสดงว่าหลวงพ่อใช้ฤทธิ์เสกใบไม้เป็นกบ (ข่าวว่าหลวงพ่อพุทธทาสก็เคยแสดงคล้ายๆ กัน คือ ยิงนกตาย) ต่อมา เพื่อไม่ให้ขัดใจคณะสงฆ์ห้ามพระอยู่ตามถ้ำ หลวงพ่อกบเลยเอาจีวรสบงออกแล้วนุ่งกางเกงดำแทน แต่ใจและร่างกายยังเป็นพระอยู่ หากจะช่วยครูบาบุญชุ่ม ลูกศิษย์ท่านน่าจะศึกษาเรื่องของหลวงพ่อกบไว้พิจารณา แต่หลวงพ่อกบจะไม่ค่อยพูดและไม่ค่อยยุ่งกับคนมากๆ

เลยเถรวาทไปก็ไปดูมหายาน เรื่องพระอรหันต์จี้กงพอนำมาเทียบกับปฏิปทาของครูบาบุญชุ่มตอนนี้ได้ไหม นั่นท่านก็มีฤทธิ์แสดงอะไรแผลงๆ แต่จะถึงขั้นเป็นอย่างหนังจีนสร้างหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ หากจะเอาคำสอนเถรวาทไปจับ อรหันต์จี้กงจะเป็นพระอรหันต์ได้หรือไม่ เรื่องท่านไปนรกสวรรค์ไม่ว่ากัน เพราะเถรวาทพระโมคคัลลานะ พระมาลัย ก็ทำได้มาแล้วเป็นตัวอย่าง แต่เรื่องที่อธิบายไม่ได้ด้วยหลักเถรวาท คือ ‘ท่านมรณภาพแล้วยังมีตัวตนปรากฏอยู่’ ซึ่งเถรวาทถือว่า พระอรหันต์มรณภาพแล้วก็ดับหมด ไม่มีรูปนาม-ตัวตนปรากฏในที่ไหนอีกต่อไป แต่ท่านจี้กงยังปรากฏตัวตน จึงบอกว่าเป็นอรหันต์ด้วยหลักของเถรวาทไม่ได้ หากจะเป็นก็เป็นด้วยหลักของมหายาน ซึ่งอธิบายเรื่องนี้ต่างจากเถรวาทไปมากแบบพลิกฝ่ามือเลย

ประเด็นหลัง ‘ท่านป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับประสาทและสมอง’ ความเห็นกลุ่มนี้ คงพูดอะไรมากไม่ได้ ต้องรอหมอพูด แต่ก็อยากสรุปเป็นหลักกว้างๆตามความรู้ฝ่ายเถรวาทไว้ว่า พระอริยะทุกระดับตั้งแต่พระโสดาบันไปจนถึงพระอรหันต์เป็นโรคทางกายได้หมดทุกโรค อาจเกิดจากกรรมบ้าง จากอาหารบ้าง จากฤดูกาลเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ไม่เป็นโรคทางใจหรือโรคเกิดจากความคิดแน่นอน เพราะท่านฝึกจิตได้แล้วคุมจิตได้แล้ว พระอรหันต์ไม่มีกิเลสปรุงแต่งจิต ส่วนพระอริยะขั้นอื่นๆกิเลสที่เหลืออยู่ก็ไม่เกินที่จะคุมให้อยู่ในอำนาจศีลสมาธิปัญญาได้ พระอริยะ แม้จะเป็นโรคกายได้หมดจนร่างกายทุกส่วนบอบซ้ำระบบประสาทอาจเสียเสื่อมได้  แต่ไม่กระทบถึงภวังคจิตของท่านซึ่งอิสระจากร่างกายและเก็บคุณธรรมหรือบารมีที่ท่านสะสมไว้ยาวนานมาแล้ว อันหมายความว่า แม้ร่างกายท่านจะบอบช้ำแค่ไหนเพียงไร แต่ความเป็นพระอริยะไม่เสียไปด้วย พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า ‘อกุปปะ-ไม่มีใครหรืออะไรทำให้กำเริบเสียไปไม่ได้’

มีเรื่องเล่าไว้ในคัมภีร์ พระเถระรูปหนึ่งเนื้อตัวขึ้นตุ่มเต็มไปหมด ตุ่มแต่ละตุ่มเริ่มจากเม็ดเล็กๆเท่าหัวสิวแล้วขยายใหญ่ขึ้นเท่าผลมะตูม สุดท้ายแตกทั่วร่างน้ำเลือดน้ำหนองไหลเปรอะทั่วร่างเหม็นคละคลุ้งไปหมดจนลูกศิษย์ที่อุปัฏฐากหนีหายหมด ก่อนมรณภาพ พระพุทธเจ้าเสด็จมาดูแลท่านพร้อมกับพระอานนท์ ซักจีวรสบงให้ ต้มน้ำร้อนอาบให้ท่าน ล้างน้ำเลือดน้ำหนองจากตัวท่าน เมื่อชำระเนื้อตัวท่านสะอาดแล้ว จัดให้ท่านนอนอย่างสงบ แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนวิปัสสนาให้ท่านดูรูปนามตัวเองด้วยการแนะนำว่า ‘ไม่นานหนอ ร่างกายนี้ก็จักนอนทับถมแผ่นดิน ร่างกายนี้เมื่อไร้วิญญาณครองแล้วก็ถูกทอดทิ้งไว้เหมือนท่อนไม้ที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้’ นี่เท่ากับว่า พระพุทธเจ้าสอนท่านให้รู้จักแยกรูปแยกนามแล้วท่านก็เจริญสติสัมปชัญญะเดินวิปัสสนาญาณตามที่พระพุทธเจ้านำจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนิพพาน (มรณภาพ) ทันทีบนที่นอนนั้นเอง

ผมยกเรื่องนี้มาต้องการบอกว่า พระเถระรูปนี้เป็นกัมมชโรค-โรคที่เกิดจากกรรมเก่าไม่ดี คือฆ่านก ท่านเป็นพรานนกดักนกได้แล้วก็หักปีกหักขานกทำให้นกไม่ตายแต่ทรมาน ก่อนพระพุทธเจ้ามาโปรด ท่านยังเป็นปุถุชน แต่ผมเดาว่าท่านจะต้องได้สมาธิระดับฌานและวิปัสสนาญาณมาแล้ว มาจะชะงักบ้างไม่ก้าวหน้าเมื่อตอนป่วยหนักแต่ก็ไม่เสื่อม พอพระพุทธเจ้ามาสอนก็กระตุ้นสติสมาธิวิปัสสนาญาณที่สะสมอยู่ในภวังคจิตของท่านให้สามัคคีกันแล้วเดินหน้าต่อจนสำเร็จเป็นมัคคญาณผลญาณ ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในสภาพร่างกายไม่พร้อมแต่จิตพร้อม

การตอบของผมคราวนี้ถือเป็นการให้ข้อมูลประกอบการพิจารณา ส่วนการจะชี้ขาดว่าครูบาท่านเป็นอะไร แค่ไหน ขอให้อยู่ในดุลพินิจของแต่ละท่าน คราวนี้ตอบแค่นี้ก่อน เรื่องกราบสามเณรเอาไว้ตอบคราวต่อไป