สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ว่าสำนักงานอัยการสูงสุดของออสเตรเลียออกรายงาน เมื่อวันอังคาร ว่าการที่อดีตนายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน แต่งตั้งตัวเองดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวง “เป็นการลับ” ระหว่างช่วงที่ออสเตรเลียกำลังเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น จริงอยู่ผู้นำรัฐบาลสามารถควบตำแหน่งรัฐมนตรีได้ เนื่องจากกฎหมายรองรับ แต่หากมองในแง่ของธรรมาภิบาล เรื่องนี้ “บ่อนทำลาย” เสถียรภาพและกลไกการทำงานของรัฐบาล


อนึ่ง บทวิเคราะห์ของสำนักงานอัยการสูงสุดมุ่งเน้นประเด็นที่ว่า การที่มอร์ริสันเก็บงำเรื่องนี้เป็นความลับ ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเด็นนี้เข้าข่ายไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของรัฐบาล และระบุด้วยว่า ผู้สำเร็จราชการ “ไม่มีอำนาจ” ทัดทานเรื่องดังกล่าว


ทั้งนี้ มีการเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าระหว่างปี 2563-2564 ซึ่งเป็นช่วงที่ออสเตรเลียกำลังเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างหนักนั้น มอร์ริสันดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการร่วม” ของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติ โดยที่ “รัฐมนตรีว่าการตัวจริง” แทบไม่เคยระแคะระคาย


ขณะที่มอร์ริสันยอมรับว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริง และตัดสินใจทำเช่นนี้ “เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติ” ท่ามกลางวิกฤติด้านสาธารณสุขครั้งใหญ่ ที่เขาพิจารณาแล้วพบว่า ตัวเองในฐานะผู้นำรัฐบาล “ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” อย่างไรก็ตาม มอร์ริสันยืนยันว่า เขาใช้อำนาจ “แทรกแซง” เพียงครั้งเดียว ต่อการบริหารของกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติ


ด้านนายกรัฐมนตรีแอนโธนี อัลบานีส ผู้นำออสเตรเลียคนปัจจุบัน กล่าวถึงรายงานของสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างชัดเจน ว่าการดำเนินการของมอร์ริสัน “สั่นคลอน” ระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และจะตั้งคณะทำงานสอบสวนเรื่องนี้ เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดขึ้นอีก และเตือนอดีตนายกรัฐมนตรี “ต้องรับผิดชอบ” กับสิ่งที่ทำลงไปด้วย.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES